โลงและการเบิกโลง
ก. โลงที่บรรจุศพนั้น ได้ความว่า สมัยเมื่อยังไม่มีเลื่อยใช้เขาเอา ไม้ทั้งท่อนมาขุดเป็นรางอย่างเรือโกลน มีไม้อุดหัวอุดท้าย แล้วจึงเอาศพ บรรจุลงไว้เพื่อกันความอุจาดตา ครั้นต่อมาถึงสมัยที่มีเลื่อยใช้แล้วจึงได้เลื่อย ไม้ทั้งคันออกเป็นแผ่นกระดาน และทำเป็นโลงต่อ เลิกใช้โลงขุดอย่างแต่ก่อน นั้นเสีย ส่วนไม้จะใช้ต่อโลงนั้น ถ้าผู้ที่ป่วยตายตามปกติ เขาก็ใช้โลงต่อด้วย ไม้มะฮอกกานีหรือไม้งิ้ว เห็นจะเป็นเพราะเป็นไม้เบา ถึงจะไม่แข็งแรงหน่อยก็ ไม่เป็นไร เพราะศพที่บรรจุลงไว้นั้นได้ตราสังแล้ว ส่วนศพที่ตายอย่างไม่ บริสุทธิ์ไม่ได้ตราสังนั้น เขามักใส่โลงที่ต่อด้วยไม้สัก ดังคำที่เด็ก ๆ นำมา ร้องเล่นว่า "ผีตายโหงใส่โลงไม้สัก ฯลฯ" การที่นิยมดังนี้น่าจะเป็นด้วยไม้สัก เป็นไม้ที่แข็งแรงและทนทาน ถึงจะเอาลงฝังดินก็ไม่ผุง่าย แต่เดี๋ยวนี้ ผู้ตาย จะตายอย่างไรก็ช่าง เขาใส่โลงไม้สักกันเป็นพื้น เว้นไว้แต่ผู้ที่ขัดสนและเอา ศพไว้น้อยวัน จึงใช้โลงไม้นอกซึ่งจีนเป็นผู้ต่อสำเร็จ ตั้งไว้ขายตามร้านทั่วไป
ข. การเบิกโลง โลงที่บรรจุศพนั้น เมื่อได้ต่อหรือซื้อมาแล้ว สัปเหร่อเป็นผู้ทำพิธีเบิกโลง คือเอาไม้ไผ่มาเกรียกโตขนาดนิ้วก้อยยาวประมาณเกรียกหนึ่งผ่าข้างหนึ่งไว้สำหรับคาบกับปากโลง และผ่าปลายอีกข้างหนึ่งสำหรับคาบด้ายสายสิญจน์ ทำดังนี้ ๘ อัน เรียกว่า ไม้ปากกา เจ้าภาพศพต้องจัดหากระทงเล็ก ๆ ใส่กุ้งล้ำปลายำ ๘ กระทง เทียนเล่มเล็ก ๆ ๙ เล่ม (สำหรับทำน้ำมนต์ ๑ เล่ม ใช้ติดปากโลง ๓ เล่ม) ด้วยสายสิญจน์กลุ่มหนึ่ง น้ำสำหรับทำน้ำมนต์ขันหนึ่งกับเงินอีก 6 สลึง แล้วสัปเหร่อเอาไม้ปากกามาคีบเข้ากับปากโลงทางด้านยาวด้านละ ๔ อัน วงด้ายสายสิญจน์อย่างหย่อน ๆ ให้ปลายปากกาคาบไว้จนรอบ แล้ววางกระทงกุ้งส้าปลายำตามปากโลงข้างไม้ปากกานั้น และจุดเทียนด้วยเล่มหนึ่ง จนครบ ๘ กระทง สัปเหร่ออีกคนหนึ่งตั้งพิธีทำน้ำมนต์ธรณีสาร มีคาถาว่า สิโร เม พุทธเทวณุจฯลฯ เมื่อเสร็จแล้ววักน้ำมนต์ในขันขึ้นเสยผม ๑ ครั้ง แล้วเอาน้ำมนต์มาพรมที่โลงและวักน้ำมนต์เสยผมไปด้วย สัปเหร่ออีกคนหนึ่งหยิบเอาเทียนที่จุดติดปากโลงนั้นมาเล่มหนึ่ง มาจุดด้ายสายสิญจน์ระหว่างช่องปากกานั้นให้ไหม้ขาดทุกช่อง เว้นไว้แต่ช่องด้านสกัดด้านหนึ่งซึ่งจะกำหนดให้เป็นหัวโลง สัปเหร่อคนที่พรมน้ำมนต์เสร็จแล้วนั้นถือพร้าโต้มากดลงที่ด้ายสายสิญจน์ระหว่างกลางหัวโลง ว่าคาถา พุทธ ปจุจกุขามิ ธมฺมิ ปจุจกุขามิ สมิง ปจุจกุขามิ ครั้นแล้วร้องถามว่า "โลงของใคร" พวกเจ้าภาพต้องบอกไปว่าเป็นโลงของคนนั้น (ออกชื่อผู้ตาย) หรือถามเองตอบเองก็มี แล้วสัปเหร่อก็เอาพร้าโต้สับด้ายสายสิญจน์นั้นลงกับปากโลง ๓ ที่ คือสับลงตรงกลางก่อน แล้วสับข้างซ้ายและขวามีระยะห่างกันราวนิ้วหนึ่งให้ด้ายสายสิญจน์ขาด และล้มปากกาและเทียนที่จุดยังเหลืออยู่ลงในโลง และหยิบกระทงกุ้งส้าปลายำโยนทิ้งไป เป็นอันเสร็จพิธีเบิกโลง
การเบิกโลงนี้ มีเรื่องกล่าวมาว่า เมื่อครั้งยังใช้ท่อนไม้มาขุดเป็นโลงนั้น บางแห่งที่หาไม้ขนาดใหญ่ได้ก็เอามาขุดเป็นรางใช้ได้ทีเดียว บางแห่งที่หาไม้ท่อนขนาดใหญ่ไม่ได้ ได้แต่ไม้ท่อนขนาดย่อม เมื่อขุดเป็นรางเสร็จแล้วได้เนื้อที่แคบไม่พอบรรจุศพ จึงจำเป็นต้องเบิกให้กว้างออกไปอย่างเบิกเรือโกลนเพื่อให้บรรจุศพลงได้ ครั้นต่อมาถึงสมัยใช้โลงต่อด้วยไม้กระดานแล้วก็ยังมีการเบิกโลงต่อๆ มา แต่ทำพอเป็นพิธีเท่านั้น