ศึกษาการผลิตอุปกรณ์ปลูกพืชสวน จากใบก้ามปูผสมกากกาแฟ เพื่อแก้ปัญหาดินร่วนปนทราย

ชื่อนักเรียนผู้จัดทำโครงงานวิทยาศาสตร์

ทิชาทิพย์ มายนอก, อนุพงษ์ ขันแข็ง, ธนกาญจน์ แสงลุน

อาจารย์ที่ปรึกษาโครงงานวิทยาศาสตร์

ชุมพล ชารีแสน

โรงเรียนที่กำกับดูแลโครงงานวิทยาศาสตร์

โรงเรียนดอนจานวิทยาคม

ปีที่จัดทำโครงงานวิทยาศาสตร์

พ.ศ. 2562

บทคัดย่อโครงงานวิทยาศาสตร์

เนื่องจากพื้นที่อำเภอดอนจานเป็นดินชุดร้อยเอ็ดที่มีลักษณะเป็นดินร่วนปนทราย มีธาตุอาหารต่ำ ไม่เก็บความชื้น ปัญหาที่พบคือเกษตรกรใส่ปุ๋ยเคมีเข้าไปเป็นส่วนใหญ่เพื่อเร่งการเจริญเติบโต จึงทำให้เนื้อดินแน่นไม่สามารถปล่อยธาตุอาหารได้ การศึกษาการผลิตอุปกรณ์ปลูกพืชสวน จากใบก้ามปูผสมกากกาแฟเพื่อแก้ปัญหาดินร่วนปนทราย ได้ศึกษา 1) เพื่อศึกษาอัตราส่วนของใบก้ามปู กากกาแฟและอัตราส่วนของตัวประสานมีผลต่อความเหมาะสมของการทำอุปกรณ์ปลูกพืชสวน 2) เพื่อประดิษฐ์อุปกรณ์ปลูกพืชสวนจากใบก้ามปูและกากกาแฟที่ส่งผลต่อการเจริญเติบโตและผลผลิตของพืชสวน 3) เพื่อศึกษาการใช้อุปกรณ์ปลูกพืชสวนจากใบก้ามปูผสมกกากาแฟที่ส่งผลต่อสมบัติดินโดยแบ่งส่วนอุปกรณ์ออกเป็นสองส่วนคือ แผ่นคลุมดิน และกระถางเพาะ โดยใช้ใบก้ามปูและกากกาแฟ ทดสอบคลุมดิน และใส่ในกระถาง ตรวจวัดการส่งผลต่อดิน แล้วทดสอบโดยการปลูกพืชสวน (พริกกะเหรี่ยง) ได้ผลการทดลอง ดังนี้

อุปกรณ์ปลูกพืชสวน จากใบก้ามปูผสมกากกาแฟ ประกอบด้วย แผ่นคลุมดินและกระถางเพาะ โดยแผ่นคลุมดินจากใบก้ามปูแต่ละอัตราส่วน พบว่า แผ่นคลุมดินจากใบก้ามปูที่มีอัตราส่วนของตัวประสาน 100 : 300 ml ส่งผลต่อสมบัติดินที่เหมาะแก่การปลูกพืชสวนโดยทั่วไปมากที่สุด คือ ค่า pH เท่ากับ 6.0 ไนโตรเจน 50 ppm ฟอสฟอรัส 4 ppm และ โพแทสเซียม 50 ppm จึงนำแผ่นคลุมดินจากใบก้ามปูที่มีอัตราส่วนของตัวประสานดังกล่าวไปใช้ในการทดลองต่อไป กระถางเพาะจากใบก้ามปูที่ใช้แรงอัด 80 N ส่งผลให้เหมาะสมต่อการขึ้นรูปของกระถางเพาะจากใบก้ามปูมากที่สุด คือ บริเวณกระถางไม่พบรอยแตกร้าว และสามารถดูดซับน้ำได้ถึง 80% พบว่าการเพาะจากใบก้ามปู แต่ละขนาดสามารถประหยัดน้ำได้ใกล้เคียงกัน เมื่อทดลองครบทั้ง 14 วัน พบว่า กระถางขนาด 90 กรัม ประหยัดน้ำมากที่สุด รองลงมาคือกระถางขนาด 60 และ 30 กรัมตามลำดับ เมื่อเทียบกับการหายไปของน้ำในถาดเพาะพลาสติกทั่วไป การใช้กระถางเพาะต้นกล้าพริกกะเหรี่ยงจากใบก้ามปูผสมกากกาแฟทั้ง 3 ขนาด มีความเร็วและอัตราการงอกเท่ากับการเพาะกล้าโดยใช้ถาดพลาสติกคือ เริ่มงอกในวันที่ 5 และมีอัตราการงอก 100 % เมื่อตรวจวัดสมบัติดินจากการทดลองใช้กระถางที่มีขนาด 60 และ 90 กรัม พบว่า เมื่อครบ 4 สัปดาห์ กระถางที่มีขนาด 60 กรัม ที่มีกากกาแฟเป็นส่วนประกอบ ในอัตราส่วน 15 กรัม ส่งผลให้สมบัติดินที่เหมาะแก่การปลูกพืชสวนโดยทั่วไปมากที่สุด คือ ค่า pH เท่ากับ 5.8 ไนโตรเจน 200 ppm ฟอสฟอรัส 14 ppm และ โพแทสเซียม 200 ppm จึงนำกระถางขนาด 60 กรัม เมื่อปลูกต้นกล้าพริกกะเหรี่ยงแล้วตรวจวัดการเจริญเติบโตจนครบ 8 สัปดาห์ พบว่าต้นพริกมีการเจริญเติบโตคือความกว้างของทรงพุ่มและความสูงของต้นพริกกะเหรี่ยงที่ปลูกแบบดินต่างกันมีการเจริญเติบโตและผลผลิตแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ ที่ระดับ .05 แต่เมื่อเปรียบเทียบรายคู่ของการทดลอง พบว่า การปลูกแบบดินที่มีอุปกรณ์ปลูกพืชสวน กับดินที่ใส่ปุ๋ยแบบเกษตรกร ไม่แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญ

การปลูกแบบใช้นวัตกรรมปลูกพืชสวน และการปลูกแบบเกษตรกร(ปุ๋ยเคมี+แผ่นคลุมพลาสติก) สามารถประหยัดน้ำได้ถึง 86% เมื่อเทียบกับการปลูกแบบใช้ดินปกติ เมื่อตรวจวัดสมบัติดินที่ปลูกจากการทดลองที่แตกต่างกัน พบว่าการปลูกต้นพริกกะเหรี่ยงโดยใช้อุปกรณ์ปลูกพืชสวนมีสมบัติดินใกล้เคียงกับสมบัติดินจากการทดลองที่ใส่ปุ๋ยและคลุมดินด้วยแผ่นพลาสติก แต่แตกต่างจากดินที่ไม่ใส่ปุ๋ย โดยพบว่า มีค่า pH เท่ากับ 5.93 ความชื้นของดินอยู่ที่ 51.33 % และค่าธาตุอาหารหลัก N 116.66 ppm P 8.93 ppm และ K 116.66 ppm ซึ่งสูงกว่าสมบัติดินก่อนปลูกมาก ส่วนสมบัติดินที่ได้จากดินที่ใส่ปุ๋ยแบบเกษตรกรพบว่ามีสมบัติดินที่ใกล้เคียงกัน แต่ค่า pH ลดต่ำลงมากที่สุดคือค่า pH เท่ากับ 5.4 และกระถางที่มีส่วนผสมและไม่มีส่วนผสมของเชื้อราไตรโคเดอร์มาจะมีราเกิดขึ้น 100 %เช่นกัน แต่ที่แตกต่างกันคือสีของเชื้อรา คือ กระถางที่ไม่มีส่วนผสมของเชื้อราไตรโคเดอร์มามีราเกิดขึ้นเป็นสีเขียว ส่วนกระถางที่มีส่วนผสมของเชื้อราไตรโคเดอร์มามีราสีขาวเกิดขึ้น และอีกทั้งเชื้อราไตรโคเดอร์มาก็ยังเป็นเชื้อราที่ส่งผลดีต่อการเจริญเติบโตพืชอีกด้วย เช่น ทำหน้าที่ยับยั้งเชื้อราชนิดอื่นๆที่เป็นอันตรายต่อพืช ช่วยเพิ่มความต้านทานโรคของพืช เป็นต้นพริกที่เพาะโดยใช้กระถางเพาะจากใบก้ามปูผสมกากกาแฟที่มีส่วนผสมไตรโคเดอร์มา ต้นพริกไม่เกิดโรค ทั้ง 5 ต้น ส่วนพริกที่เพาะโดยใช้กระถางเพาะจากใบก้ามปูผสมกากกาแฟที่ไม่มีส่วนผสมไตรโคเดอร์มา เกิดโรคเพียง 1 ต้น โรคที่พบ คือโรครากเน่าโคนเน่า ซึ่งแสดงให้เห็นว่า เชื้อราไตรโคเดอร์มาสามารถป้องกันเชื้อราและโรคที่เป็นอันตรายต่อพืชได้