การเปรียบเทียบประสิทธิภาพในการสมานรอยแตกร้าวของคอนกรีตโดยใช้การตกตะกอนของแคลเซียมคาร์บอเนตด้วยแบคทีเรียระหว่างแบคทีเรีย Bacillus subtilis และแบคทีเรีย Bacillus thuringiensis
- ชื่อนักเรียนผู้จัดทำโครงงานวิทยาศาสตร์
ธัญฆพร แสงมณี, กวิสรา ไสยแก้ว
- อาจารย์ที่ปรึกษาโครงงานวิทยาศาสตร์
นภวรรณ มัณยานนท์
- โรงเรียนที่กำกับดูแลโครงงานวิทยาศาสตร์
- ปีที่จัดทำโครงงานวิทยาศาสตร์
บทคัดย่อโครงงานวิทยาศาสตร์
โครงงานเรื่องการเปรียบเทียบประสิทธิภาพในการสมานรอยแตกร้าวของคอนกรีตโดยใช้แบคทีเรีย Bacillus subtilis และแบคทีเรีย Bacillus thuringiensis มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบประสิทธิภาพการสมานรอยแตกร้าวของคอนกรีตเมื่อใช้แบคทีเรีย Bacillus subtilis และแบคทีเรีย Bacillus thuringiensis และเพื่อศึกษาการสมานรอยแตกร้าวของคอนกรีต ในปัจจุบันคอนกรีตเป็นวัสดุที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในการก่อสร้างเพราะมีความแข็งแรง ต้นทุนต่ำ ปัญหาที่พบทั่วไปคือรอยแตกร้าวของคอนกรีต ก่อให้เกิดปัญหาด้านค่าใช้จ่ายและส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม วิธีแก้ไขมีอยู่หลายวิธี การใช้ปูนซีเมนต์ฉาบทับบนรอยร้าว การใช้น้ำยาซ่อมแซมรอยร้าว การตกตะกอนของแคลเซียมคาร์บอเนตด้วยแบคทีเรีย ทางคณะผู้จัดทำจึงเกิดแนวคิดเรื่องการใช้การตกตะกอนของแคลเซียมคาร์บอเนตด้วนแบคทีเรียมาใช้ในการซ่อมแซมรอยแตกร้าวคอนกรีต ซึ่งจะใช้แบคทีเรียที่สามารถสร้างสปอร์และทนต่อสภาวะที่เป็นด่างสูงได้ นั่นก็คือแบคทีเรียสกุล Bacillus
โครงงานนี้นำเสนอผลการทดลองที่แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพในการสมานรอยแตกร้าวของคอนกรีตโดยใช้แบคทีเรีย Bacillus subtilis และแบคทีเรีย Bacillus thuringiensis ที่ 7,14 และ 28 วัน เพื่อเปรียบเทียบว่าแบคทีเรียชนิดใดที่สามารถสมานรอยแตกร้าวของคอนกรีตได้ดีที่สุด ซึ่งสามารถนำไปพัฒนาต่อเป็นผลิตภัณฑ์สมานรอยแตกร้าวคอนกรีตที่มีแบคทีเรียเป็นส่วนประกอบได้ การตกตะกอนแคลเซียมคาร์บอเนตด้วยแบคทีเรียเป็นวิธีการทางชีวรูป เป็นการเลียนแบบวิถีทางธรรมชาติเช่นเดียวกับการเกิดหินตะกอนคาร์บอเนตบนโลก จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม