การเปรียบเทียบประสิทธิภาพของสารสกัดจากเปลือกสับปะรด เปลือกมะละกอ และเปลือกมะม่วงในการลดการเกิดสีน้ำตาลของมะเขือเปราะและหัวปลี
- ชื่อนักเรียนผู้จัดทำโครงงานวิทยาศาสตร์
วริษา สงพราหมณ์, ฑิฌาพร ไพศาลศักดิ์ทวี
- อาจารย์ที่ปรึกษาโครงงานวิทยาศาสตร์
ปาณิสรา ไชยรักษ์
- โรงเรียนที่กำกับดูแลโครงงานวิทยาศาสตร์
- ปีที่จัดทำโครงงานวิทยาศาสตร์
บทคัดย่อโครงงานวิทยาศาสตร์
โครงงานนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบประสิทธิภาพของสารสกัดจากเปลือกสับปะรด เปลือกมะละกอและเปลือกมะม่วงที่มีผลต่อการลดการเกิดสีน้ำตาลของมะเขือเปราะและหัวปลี รวมถึงศึกษาวิธีการสกัดสารจากเปลือกสับปะรด เปลือกมะละกอและเปลือกมะม่วง โดยนำเปลือกสับปะรด เปลือกมะละกอและเปลือกมะม่วง สกัดด้วยชุดกลั่น โดยใช้ตัวทำละลาย 2 ชนิด คือ น้ำเปล่าปริมาตร 200 ml และเอทานอลความเข้มข้น 50 % ปริมาตร 200 ml ทำการวัดค่า pH ของสารสกัดที่ได้ แล้วนำมะเขือเปราะและหัวปลีที่หั่นแล้วแช่ในสารสกัดแต่ละชนิด เป็นเวลา 30 นาที ถ่ายภาพแล้วนำมาวัดค่าสี L*a* b* ด้วยโปรแกรม Adobe Photoshop CC จากนั้นทำการวิเคราะห์ผลการทดลอง โดยคำนวณหาค่าการเกิดสีน้ำตาล
จากการศึกษาพบว่าสารสกัดจากเปลือกสับปะรดที่ใช้น้ำเปล่าเป็นตัวทำละลาย มีประสิทธิภาพในการลดการเกิดสีน้ำตาลของมะเขือเปราะและหัวปลีมากที่สุด โดยสามารถลดการเกิดสีน้ำตาลของมะเขือเปราะได้ 24.565 % และสามารถลดการเกิดสีน้ำตาลของหัวปลีได้ 42.469 % สารสกัดที่มีประสิทธิภาพรองลงมาคือ สารสกัดจากเปลือกมะม่วงที่ใช้น้ำเปล่าเป็นตัวทำละลาย สามารถลดการเกิดสีน้ำตาลของมะเขือเปราะได้ 21.398 % และสามารถลดการเกิดสีน้ำตาลของหัวปลีได้ 40.367 % สารสกัดจากเปลือกมะละกอที่ใช้น้ำเปล่าเป็นตัวทำละลายมีประสิทธิภาพในการลดการเกิดสีน้ำตาลของมะเขือเปราะและหัวปลีน้อยที่สุด โดยสามารถลดการเกิดสีน้ำตาลของมะเขือเปราะได้ 16.232 % และสามารถลดการเกิดสีน้ำตาลของหัวปลีได้ 35.512 % ในขณะที่สารสกัดจากเปลือกสับปะรด เปลือกมะละกอ และเปลือกมะม่วงที่ใช้ 50% เอทานอลเป็นตัวทำละลาย ไม่สามารถลดการเกิดสีน้ำตาลของมะเขือเปราะและหัวปลีได้ อีกทั้งยังทำให้มะเขือเปราะและหัวปลีเกิดสีน้ำตาลมากขึ้น