เปรียบเทียบประสิทธิภาพของน้ำมันหอมระเหยจากใบขี้เหล็กและข่าในการป้องกันปลวกกินเนื้อไม้ยางพารา

ชื่อนักเรียนผู้จัดทำโครงงานวิทยาศาสตร์

พิชชาพร พิพัฒน์พรธนากุล, กรวีร์ เสนาคำ

อาจารย์ที่ปรึกษาโครงงานวิทยาศาสตร์

ปาณิสรา ไชยรักษ์

โรงเรียนที่กำกับดูแลโครงงานวิทยาศาสตร์

โรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย ตรัง

ปีที่จัดทำโครงงานวิทยาศาสตร์

พ.ศ. 2565

บทคัดย่อโครงงานวิทยาศาสตร์

ยางพาราเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศไทย ในปี 2562 ประเทศไทยมีพื้นที่ปลูกยาง 22,530,503 ไร่ มากเป็นอันดับสองของโลกรองจากประเทศอินโดนีเซีย โดยภาคใต้มีพื้นที่ปลูกยางมากที่สุดของประเทศประมาณ 13,503,158 ไร่ ในจังหวัดตรังมีพื้นที่เพาะปลูกยางพารา 1,434,445 ไร่ พื้นที่ให้ผลผลิต 1,241,453 ไร่ ปัจจุบันเกษตรชาวสวนยางเริ่มประสบปัญหาการเข้าทำลายของปลวกใต้ดิน Coptotermes curvignathus (Isoptera: Rhinotermitidae) ซึ่งเป็นปลวกชนิดเดียวที่ทำลายต้นยางที่มีชีวิต ปลวกชนิดนี้กัดกินต้นยางทุกระยะการเจริญเติบโต โดยกัดกินรากและโคนต้นที่อยู่ใต้ผิวดิน และกัดกินต่อไปภายในลำต้นจนเป็นโพรงทำให้ต้นยางยืนต้นตาย

การใช้สารเคมีเป็นวิธีที่เกษตรกรนิยมปฏิบัติในการควบคุมปลวกใต้ดิน เนื่องจากให้ผลในการควบคุมปลวกอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตามการใช้สารเคมีอย่างต่อเนื่อง ก่อให้เกิดพิษตกค้างของสารเคมีในสิ่งแวดล้อม รวมทั้งอันตรายต่อสุขภาพอนามัยของมนุษย์และสิ่งมีชีวิตที่มีประโยชน์อื่นๆในระบบนิเวศ ด้วยความตระหนักถึงพิษภัยจากการใช้สารเคมี จึงต้องหาทางเลือกเพื่อการควบคุมปลวกที่มีประสิทธิภาพและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม การใช้สารธรรมชาติจากพืชในรูปน้ำมันหอมระเหยเพื่อควบคุมแมลงเป็นวิธีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เนื่องจากสารธรรมชาติจากพืชสลายตัวเร็ว จึงปลอดภัยต่อผู้ใช้และสิ่งแวดล้อม น้ำมันหอมระเหยจากพืชมีประสิทธิภาพในการควบคุมแมลง โดยออกฤทธิ์เป็นสารฆ่าแมลง ไล่แมลง ยับยั้งการวางไข่ ยับยั้งการเกิดลูกรุ่นใหม่ รวมทั้งไปรบกวนการผสมพันธุ์ของแมลง ปัจจุบันพบว่ามีน้ำมันหอมระเหยจากพืชหลายชนิดมีฤทธิ์ควบคุมปลวกใต้ดิน เช่น ขี้เหล็ก ชะพลู ส้มโอ ข่า และตะไคร้

ทางคณะผู้จัดทำจึงสนใจเปรียบเทียบประสิทธิภาพของน้ำมันหอมระเหยจากใบขี้เหล็กและข่าในการป้องกันปลวกกินเนื้อไม้ยางพารา