การเปรียบเทียบความสามารถการเรืองแสงของสารเรืองแสงที่ผสมกับยางพาราชนิดต่าง ๆ
- ชื่อนักเรียนผู้จัดทำโครงงานวิทยาศาสตร์
กฤษกร เปลือยศรี, ณัฐริกา ชนะบูรณ์, พรรณธร แสงสว่าง
- อาจารย์ที่ปรึกษาโครงงานวิทยาศาสตร์
ณัฏฐพัชร์ เพ็ชรศรีกุล
- โรงเรียนที่กำกับดูแลโครงงานวิทยาศาสตร์
- ปีที่จัดทำโครงงานวิทยาศาสตร์
บทคัดย่อโครงงานวิทยาศาสตร์
บทที่ 1
บทนำ
1.1 ที่มาและความสำคัญ
ยางพาราเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศไทย โดยในปีพ.ศ. 2559 ผลิตยางได้ 4.16 ล้านตัน และส่งออกถึง 3.6 ล้านตัน (สมาคมยางพาราไทย,2560) ซึ่งในปัจจุบันยางพารามีราคาถูกมาก ห่วงโซ่คุณค่าของยางพาราประกอบด้วย 3 ขั้นตอนหลัก คือ การเพาะปลูกยางพารา การผลิตวัตถุดิบได้แก่ และการผลิตผลิตภัณฑ์ เช่น ถุงมือ ยางรถยนต์ ชิ้นส่วนยางอุตสาหกรรม เป็นต้น การส่งเสริมอุตสาหกรรมในการแปรรูปวัตถุดิบของยางพาราให้เป็นสินค้าเป็นนโยบายที่สำคัญ
การแปรรูปน้ำยางข้นให้เป็นผลิตภัณฑ์นั้น มีการพัฒนาสูตรผสมของน้ำยางข้นกับสารเคมีบางชนิดที่เรียกว่า น้ำยางพรีวัลคาไนซ์ การผลิตน้ำยางข้นมี 4 วิธี ได้แก่ การระเหยน้ำ การทำให้เกิดครีม การใช้กระแสไฟฟ้าแยก และการปั่น ซึ่งวิธีที่นิยมใช้กันอย่างกว้างขวางในระดับอุตสาหกรรมเป็นวิธีการปั่นประมาณ 90 % ของการผลิตน้ำยางข้น (Kajornchaiyakul,2006) ยางธรรมชาติมีคุณสมบัติทิ่ีดีในด้านความยืดหยุ่นสูงมีค่าความทนทานต่อแรงดึงสูงโดยที่ไม่ต้องเติมสารเสริม-แรง มีความทนต่อการฉีกขาดสูงมากทั้งท่ี่อุณหภูมิห้องและอุณหภูมิสูง อย่างไรก็ตามสมบัติบางประการ เช่น โมดูลัส ความแข็ง ความต้านทานต่อ การขัดถู จำเป็นต้องได้รับการปรับปรุงสำหรับงานเฉพาะอย่าง
นอกจากการผสมสูตรต่างๆ ของน้ำยางพรีวัลคาไนซ์แล้ว การพัฒนาสูตรผสมที่สามารถประยุกต์ใช้กับชิ้นงานที่เหมาะสม ก็จะเป็นการส่งเสริมให้มีการใช้น้ำยางข้นเป็นวัตถุดิบมากขึ้นได้ ดังนั้นคณะผู้จัดทำจึงเล็งเห็นการนำสูตรน้ำยางพรีวัลคาไนซ์มาพัฒนาให้เป็นวัตถุดิบในการผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ท่ี่มีการเรืองแสงและมีประโยชน์ในการใช้ในเวลากลางคืนเพื่อเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับยางพาราและสามารถนำมาเป็นทางเลือกในการใช้งานได้
งานวิจัยนี้เป็นการศึกษาความสามารถในการเรืองแสงของชิ้นงานตัวอย่างของยางที่เปลี่ยนแปลงไปเมื่อผสมสารเรืองแสงในน้ำยางพรีวัลคาไนซ์ 4 สูตร คือสูตรที่มีทั้งแคลเซียมคาร์บอเนตและไทเทเนียมไดออกไซด์ สูตรไม่มีแคลเซียมคาร์บอเนต สูตรไม่มีไทเทเนียมไดออกไซด์ และสูตรไม่มีทั้งแคลเซียมคาร์บอเนตและไทเทเนียมไดออกไซด์ โดยผสมสารเรืองแสงในแต่ละสูตรในช่วง 5 - 20 phr ทำการทดสอบความเข้มของการเรืองแสง และความคงอยู่ของการเรืองแสง เพื่อเป็นข้อมูลในการประเมินความเป็นไปได้ในการนำไปสู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์และวัสดุเรืองแสงจากยางธรรมชาติต่อไป
1.2 วัตถุประสงค์
เพื่อศึกษาความสามารถในการเรืองแสงของวัสดุที่ผสมสารเรืองแสงกับน้ำยางพรีวัลคาไนซ์
เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับยางพารา
เพื่อนำเอาพลังงานแสงอาทิตย์มาใช้โดยทางตรง เพื่อเป็นแนวทางในการประหยัดไฟฟ้า
1.3 ขอบเขตการศึกษาค้นคว้า
โครงงานนี้จะทำการศึกษาในหัวข้อดังต่อไปนี้
คุณสมบัติ การนำไปใช้งาน และประโยชน์ที่ได้รับจากการนำยางพารามาผสมกับสารเรืองแสง
ประสิทธิภาพในการเรืองแสงจากพลังงานแสงอาทิตย์
3.การใช้วัสดุสารเรืองแสงในปัจจัยสภาพแวดล้อมที่มืดสนิทโดยไม่มีปัจจัยอื่นๆ เกี่ยวกับแสงที่จะมีผลกระทบต่อการมองเห็นในที่มืด
1.4 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
ช่วยประหยัดพลังงาน โดยใช้พลังงานแสงอาทิตย์ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
สามารถนำวัสดุที่ได้ไปสร้างสรรค์งานเพื่อให้เกิดการพัฒนาในเรื่องงานของอุตสาหกรรมนั้นๆ
บทที่ 2
เอกสารที่เกี่ยวข้อง
แสง
แสงคือ พลังงานรูปแบบหนึ่งมีลักษณะเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ซึ่งต่างกับคลื่นเสียงโดยจะเลือกความยาวคลื่นโดยจะเลือกความยาวคลื่นเป็นจุด ๆ ในวงแคบ ๆ เท่านั้น โดยที่จะเลือกความยาวคลื่นเป็นช่วงแคบ ๆ จากความยาวคลื่น ตั้งแต่สีม่วงจนถึงสีแดง มาผสมกันได้เป็นสีขาวนวลดังที่เรา สามารถสังเกตได้เช่นกันกับแบบไส้หลอด แต่แสงในช่วงความยาว คลื่นสูง คือ ใกล้แสงสีแดงนั้นน้อยกว่า ทำให้เราไม่รู้สึกร้อน เท่ากับแบบไส้หลอด ลักษณะนี้จึงมักเรียกว่า 'แสงเย็น' โดยจะ เห็นได้จากหลอดฟลูออเรสเซนต์ หรือหมุดสะท้อนแสงสีเหลือง ตามถนนทั่วไป เป็นต้น จากลักษณะของแสงทั้งสองแบบข้างต้น ทำให้เรา สามารถคาดเดาได้ว่า สารเรื่องแสง ที่เรารู้จักกันนั้น เป็นสาร ในกลุ่มที่ 2 นี้เอง เนื่องจากไม่มีความร้อน และสามารถเลือกสี ได้โดยการออกแบบเลือกใช้สารที่ให้แสงออกมาในช่วงที่ต้องการได้
นอกจากนี้แสงประเภทที่ 2 นี้ยังสามารถแบ่งย่อยได้เป็น 2 ประเภท คือ
2.1 แสงฟลูออเรสเซนต์ (fluorescence)
2.2 แสงฟอสฟอเรสเซนต์ (phosphorescence)
แสงเย็นทั้ง 2 ประเภทนี้มีความแตกต่างกันคือ ระยะเวลาในการคงการให้แสงสว่างหลังจากที่ปิดตัวกระตุ้น หรือ ตัวกระตุ้นหยุดการทำงานไปแล้ว เช่น เมื่อเราปิดสวิตช์ไฟหาก หลอดไฟดับในทันที ลักษณะนี้เป็นแสงประเภทฟลูออเรสเซนต์ แต่หากในขณะที่เราปิดสวิตช์แล้ว หลอดไฟยังสามารถให้ แสงต่อไปได้อีกระยะหนึ่ง เราเรียกว่าเป็นแสงในกลุ่มของ ฟอสฟอเรสเซนต์ โดยที่ตัวกระตุ้นของหลอดไฟทั้งสองนี้คือ กระแสไฟฟ้า หรืออิเล็กตรอนฟลูออเรสเซนต์จะให้แสง สว่างต่อไปสั้นกว่า 10-8 วินาที ขณะที่ แสงฟอสฟอเรสเซนต์ นั้นจะคงรักษาการให้แสงต่อไปนานกว่า 10-8 วินาที ฉะนั้น แสงเย็นที่ได้จะเป็นแสงประเภทใดจึงขึ้นอยู่กับ ลักษณะการกระตุ้น และชนิดของวัสดุที่ถูกกระตุ้นให้เกิดแสง
ผลของสารเรืองแสงต่อการเรืองแสงและความแข็งของยางที่ผลิตจากน้ำยางคอมปาวด์
ตัวอย่างจากสูตรน้ำยางคอมปาวด์ 4 สูตร คือ สูตรมีแคลเซียมคาร์บอเนตและไทเทนียมไดออกไซด์สูตรไม่มีแคลเซียม คาร์บอเนตสูตรไม่มีไทเทเนียมไดออกไซด์และสูตรไม่มีแคลเซียมคาร์บอเนตและไทเทเนียมไดออกไซด์แต่ละสูตรใช้น้ำยางคอม ปาวด์ 4.4 กรัม ผสมสารเรืองแสงในแต่ละสูตรที่ 0.1 (5%), 0.2 (10%) และ 0.4 (20%) กรัมขึ้นรูปยางโดยการอบที่อุณหภูมิ 70๐C นำตัวอย่างไปทดสอบความเข้มของการเรืองแสงด้วยเครื่องฟลูออโรมิเตอร์ที่มีการกระตุ้นด้วยความยาวคลื่น 375 นาโนเมตร ทดสอบความคงอยู่ของการเรืองแสงด้วยเครื่องลูมิแนนซ์มิเตอร์120 วินาที หลังการกระตุ้นพลังงานด้วยหลอดฟลูออเรสเซนต์ 5 นาที และทดสอบความแข็งด้วยเครื่องดูโรมิเตอร์แบบชอร์เอตามมาตรฐาน ASTM D2240 ผลการศึกษาพบว่า ที่สเปกตรัม ความยาวคลื่น 520 นาโนเมตร น้ำยางที่ไม่มีไทเทเนียมไดออกไซด์ที่ปริมาณการผสมสารเรืองแสงร้อยละ 20 ให้ค่าความเข้ม ของการเรืองแสงสูงสุดเท่ากับ 56x105 cps และการเรืองแสงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามอัตราการผสมสารเรืองแสงที่มากขึ้น การคงอยู่ของการเรืองแสงทั้ง 4 สูตรในช่วงเริ่มต้นจนถึงช่วงวินาทีที่ 120 มีอัตราการลดลงเฉลี่ย 94% ตัวอย่างที่ผสมสารเรือง แสงร้อยละ 20 ในสูตรที่มีทั้งแคลเซียมคาร์บอเนตและไทเทเนียมไดออกไซด์ มีค่าความแข็งสูงสุดคือ 39 ชอร์เอ
ที่มา : พิชญ์ดนู ธวัชพันธุ และ จักรกฤษณ์ มหัจฉริยวงศ “ผลของสารเรืองแสงต่อการเรืองแสงและความแข็งของยางที่ผลิตจากน้ำยางคอมปาวด์” ใน การประชุมเสนอผลงานวิจัยระดับชาติ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมธิราช ครั้งที่ 7 (2017).
ความเข้มของแสง
การวัดค่าความเข้มของแสงจะมีการใช้ค่าหลายค่าในการวัด เช่น ค่าแรงเทียน, lumen, lux
แรงเทียน:เรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า candle power มีหน่วยวัดเป็น cd หรือ candle 1 cd มีความหมายว่า เมื่อนำเอาแหล่งกำเนิดแสง มาวางไว้ที่วัตถุทรงกลม มีรัศมี 1 ฟุต ในพื้นที่ 1 ตารางฟุต จะวัดความสว่างได้เท่ากับ 1 ฟุต-แคนเดิล (1 fc หรือเท่ากับ 1 lumen/ft2) ซึ่งหมายความว่า ในพื้นที่ทรงกลม 1 ตารางฟุต จะมีแสงมาตก 1 เส้น หรือ 1 lumen
Lumen: เป็นค่าที่ใช้ในการวัด flux ซึ่งเป็นค่าของพลังงานที่เกิดมาจากแหล่งกำเนิดแสงนั้น ๆ เท่าไหร่ ในเวลาหนึ่ง ๆ โดยการวัดจะวัดเฉพาะแสงที่สายตามนุษย์สามารถมองเห็นได้ ไม่ได้วัดค่าพลังงานทั้งหมด
Lux: เป็นการวัดค่า ความส่องสว่างที่เรียกว่า illumination ซึ่งมีความแตกต่างจาก flux เพราะเป็นค่าพลังงานที่ออกมาจากจุดกำเนิด แต่ illumination เป็นพลังงานแสงที่ตกกระทบพื้นผิว
การแปลงหน่วยนั้นสามารถทำได้ง่าย ๆ ดังนี้
1fc (foot candle) = 1 lumen / ft2
1fc = 1/10.76 lumen / m2 หรือ lux
1fc = 0.09 lux
1lux = 10.79 fc = 10.76 lm/ft2
Power consumtion จะถูกวัดออกมาเป็นค่า Wattage หรือ watt ซึ่งมีความหมายว่า ค่าใช้จ่ายที่จะต้องเสียมักจะสัมพันธ์กับความส่องสว่างของหลอดไฟ ยิ่งวัตต์มาก แสงก็จะยิ่งเข้มกว่าวัตต์น้อย หากแต่ก็ไม่ได้คงค่านี้เสมอไปเช่นกัน
ปริมาณแสง
การวัดปริมาณแสงที่นิยมใช้ในวิศวกรรมคือ การวัดในรูปของเส้นแรงของแสง ซึ่งมีหน่วยการวัดเป็น Lumen และหน่วยที่แสดงการส่องสว่าง หรือถ้าวัดความสว่างจะใช้เป็นหน่วย ลักซ์ (Lux) ซึ่งเป็นค่าแรงของแสงที่ตกกระทบพื้นที่ 1 ตารางเมตร ซึ่งมีสูตรการคำนวณดังนี้
Lux = Lumen/m2 = lm/m2
สำหรับการบอกค่าปริมาณแสงของหลอดใด ๆ ก็ตาม มักจะบอกออกมาในรูปของค่าลูเมน อย่างเช่น หลอดฟลูออเรสเซนต์สี Cool White 36 W. 1 หลอด จะมีค่า Lumen Output อยู่ที่ประมาณ 3,000 ลูเมน โดยประสิทธิภาพจากหลอดไฟนั้น สามารถพิจารณาขึ้นได้จากเส้นแรงของแสงที่ถ่ายพลังงานออกมาจากหลอดต่อกำลังวัตต์ของหลอดไฟนั้นๆ ทั้งนี้ในบางครั้งก็จะเรียกกันว่า Efficacy โดยมีหน่วยเป็น Lumen/Watt อย่างเช่น หลอดไส้ ซึ่งจะมีประสิทธิภาพทางแสงอยู่ที่ประมาณ 15 Lumen/W. ฯลฯ
ที่มา:tonanasia.(2021).การวัดความเข้มแสง,สืบค้นเมื่อ14มีนาคม2564.จาก. https://www.tonanasia.com/2019/07/25/%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%20%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%A1%E0%B8%82%E0%B8%AD/
ฟอสฟอเรสเซนซ์
ฟอสฟอเรสเซนซ์ คือ การเปล่งแสงของวัตถุคล้ายกับฟลูออเรสเซนซ์ วัตถุฟอสฟอเรสเซนซ์จะไม่เปล่งแสงทันทีหลังจากดูดซับแสงเข้ามาแต่จะค่อยๆปล่อยแสงออกมา การปล่อยแสงที่ช้าลงนั้นเกิดจากกระบวนการณ์ต้องห้าม (Forbidden mechanism) ของการเปลี่ยนแปลงระดับพลังงานในกลศาสตร์ควอนตัม การเปลี่ยนแปลงเหล่านี่จะเกิดได้ช้ามากในวัสดุบางชนิด รังสีที่ถูกปล่อยออกมาจะมีความเข้มต่ำแต่จะปล่อยอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหลายชั่วโมงหลังจากถูกกระตุ้น
หลักการเรืองแสง
ในปรากฏการณ์เปล่งแสงส่วนใหญ่ สารเคมีจะดูดซับและปล่อยอนุภาคโฟตอนในช่วงเวลาสั้นๆในหลัก 10 นาโนวินาที ซึ่งกระบวนการดูดและคายแสงในเวลาอันรวดเร็วเช่นนี้จะเกิดได้ก็ต่อเมื่อพลังงานของโฟตอนนั้นพอดีกับระดับพลังงานทำให้สสารนั้นสามารถคายพลังงานมาสถานะพิ้นได้ ในกรณีพิเศษของสารฟอสฟอเรสเซนซ์อิเล็กตรอนที่ดูดพลังงานโฟตอนเข้ามาจะข้ามไปในสถานะอื่นที่มีสปินสูงขึ้น โดยมักจะเปลี่ยนจากสถานะดั้งเดิมที่เป็นแบบซิงเลตไปเป็นทริปเลต ผลที่ตามมาก็คืออิเล็กตรอนในสถานะกระต้นจะติดอยู่ในสถานะทริปเลตที่จะสามารถคายพลังงานได้ผ่านกระบวนการต้องห้าม (forbidden mechanism) เท่านั่นเพราะ กระบวนการนี้ตามหลักแล้วไม่สามารถเกิดขึ้นได้แต่ในกลศาสตร์ควอนตัมนั้นมันสามารถเกิดขึ้นได้แต่ใช้พลังงานสูงกว่าจึงเกิดขึ้นได้ช้ากว่ามาก สารฟอสฟอเรสเซนซ์ส่วนใหญ่จะคายพลังงานออกมาได้ค่อนข้างเร็วโดยอิเล็ดตรอนจะอยู่ในสถานะทริปเลตประมาณมิลลิวินาที แต่สารบางชนิดมีช่วงชีวิตของสถานะทริปเลตได้หลายนาทีหรือชั่วโมงทำให้สามารถใช้สารพวกนี้ในการกักเก็บพลังงานแสงในรูปของอิเล็กตรอนที่ถูกกระตุ้นซึ่งจะคายพลังงานออกมาช้าๆ สารเหล่านี้นำมาทำเป็นวัสดุเรืองแสงได้ถ้าแสงถูกปล่อยออกมาในปริมาณมากพอ
ที่มา : Vladimir Zapletin.(2021).Phosphorescence Definition and Examples, สืบค้นเมื่อ 14 มีนาคม 2564.จาก. https://www.thoughtco.com/definition-of-phosphorescence-605510
ชนิดของวัตถุสารเรืองแสง
SL Group ในกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ให้ความสว่างมาก และมีระยะเวลาในการเรืองแสงที่นาน ซึ่งมีหลายคุณภาพโดยแบ่งเป็นคุณภาพเกรด 1–4 เช่น SLG-1 ย่อมให้ความสว่างและนานกว่า SLG-4 เป็นต้น SL Glow Powder มี 2 ประเภท คือ Solvent Based Type ประเภทที่ใช้ตัวทําละลายแบบใส เช่น Resin หรือ หมึก และ Water Based Soluable Type ประเภทที่ใช้น้ำเป็นตัวทําละลาย
ลำดับ
Code
Particle Size (Um)
Glow Time (ชั่วโมง)
1
SGL-1
80-85
>15 Hours
2
SGL-1W
80-85
>15 Hours
3
SGL-2
50-55
12 Hours
4
SGL-2W
50-55
12 Hours
5
SGL-3
30-35
10 Hours
6
SGL-3W
30-35
10 Hours
7
SGL-4
20-25
>6 Hours
8
SGL-4W
20-25
>6 Hours
9
SLB-1
80-85
>15 Hours
10
SLB-1W
80-85
>15 Hours
11
SLB-2
50-55
12 Hours
12
SLB-2W
50-55
12 Hours
13
SLB-3
30-35
10 Hours
14
SLB-3W
30-35
10 Hours
15
SLB-4
20-25
>6 Hours
16
SLB-4W
20-25
>6 Hours
หมายเหตุ: Code ที่มี”W”หมายถึงผสมน้ำ
ตารางที่ 1
L Group ในกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ให้ความสว่างและมีขนาดของผงในระดับกลาง และใช้ผสมกับตัวทําละลายได้เพียงอย่างเดียว ไม่สามารถใช้กับน้ำได้ มีอยู่ 4 คุณภาพด้วยกัน คือ 5, 6, 7, และ 8 โดยที่เกรดที่ 8 มีคุณภาพดีสุด คือ สว่างและเรืองแสงได้นานถึง 10 ชั่วโมง และเกรดที่ต่ำสุด คือ เกรด 5 มีความหนาแน่นน้อยและเรืองแสงได้เพียง 2 - 3 ชั่วโมง แสงที่เรืองออกมามีให้เลือก 2 สี คือ สีเขียวและสีฟ้า
ลำดับ
Code
Particle Size (Um)
Glow Time (ชั่วโมง)
1
LG-6B
45-65
6
2
LG-6C
20-40
5
3
LG-6D
10-15
4
4
LG-7B
45-65
8
5
LG-7C
20-40
6
6
LG-7D
10-15
5
7
LG-7E
5-10
4
8
LG-8C
20-40
12
9
LB-5C
20-40
3
10
LB-5D
10-15
2
11
LB-6B
45-65
6
12
LB-6C
20-40
5
13
LB-7B
45-65
8
14
LB-7C
20-40
6
15
LB-8B
45-65
11
16
LB-8C
20-40
10
ตารางที่ 2
Color Group ในกลุ่มนี้มีหลายสี คือ Multi Color ทั้งสีปกติและสีที่เรืองแสงออกมา ทําให้สามารถนําไปใช้ได้หลากหลาย โดยเฉพาะสีปกติที่ไม่ใช่เพียงแค่สีครีมเพียงอย่างเดียว ดังนั้นสามารถนําไปใช้สร้างสีสรรในงานได้ แต่มีข้อจํากัด คือ ระยะเวลาในการเรืองแสงในที่มืดนั้นได้เพียง 1 - 2 ชั่วโมงเท่านั้น
ลำดับ
Code
Particle Size (Um)
Glow Time (ชั่วโมง)
1
CGB
20-50
2 Hours
2
CGG
20-50
2 Hours
3
CGP
20-50
2 Hours
4
CGO
20-50
2 Hours
5
CGY
20-50
2 Hours
6
CGR
20-50
1 Hours
7
CGRO
20-50
1 Hours
ตารางที่ 3
RE Group ในกลุ่มนี้เป็นสีขาว แต่เมื่อเรืองแสงออกมาแล้วจะมีหลายสีให้เลือก เหมาะสําหรับงานที่ต้องการสีขาวในสีปกติ เมื่อนําไปใช้สามารถผสมได้กับสารละลาย (Solvent) หรือน้ำก็ได้
ลำดับ
Code
Particle Size (Um)
Glow Time (ชั่วโมง)
1
REO-B
20-40
5 Hours
2
REO-P
20-40
1 Hours
3
REO-OR
20-40
2 Hours
4
REO-W
20-40
4 Hours
5
REO-1
20-40
2 Hours
ตารางที่ 4
S Group ในกลุ่มนี้เป็นสีครีม เมื่อเรืองแสงออกมาจะเป็นสีเขียวหรือสีฟ้า เมื่อนําไปใชสามารถผสมได้กับสารละลาย (Solvent) หรือน้ำก็ได้
ลำดับ
Code
Particle Size (Um)
Glow Time (ชั่วโมง)
1
SB-8B
45-65
2 Hours
2
SB-8C
15-25
1 Hours
3
S-2
20-40
1 Hours
4
ZL-1
35-65
6 Hours
5
ZL-2
3-30
6 Hours
ตารางที่ 5
ที่มา: Pet’s Luminous Creations.(2021). Glow in the Dark Powder[Online],สืบค้นเมื่อ 14 มีนาคม 2564.จาก. http://www.darkniteglow.com
Jablonski diagram
แผนภาพ Jablonski เป็นแผนภาพพลังงานที่จัดเรียงด้วยพลังงานบนแกนแนวตั้ง ระดับพลังงานสามารถแสดงในเชิงปริมาณได้ แต่แผนภาพเหล่านี้ส่วนใหญ่ใช้ระดับพลังงานตามแผนผัง ส่วนที่เหลือของแผนภาพจะจัดเรียงเป็นคอลัมน์ ทุกคอลัมน์มักจะแสดงถึงการหมุนหลายหลากเฉพาะสำหรับสิ่งมีชีวิตชนิดใดชนิดหนึ่ง อย่างไรก็ตามแผนภาพบางส่วนแบ่งระดับพลังงานภายในการหมุนหลายหลากเดียวกันออกเป็นคอลัมน์ต่างๆ ภายในแต่ละคอลัมน์เส้นแนวนอนจะแสดงสถานะเฉพาะของโมเลกุลนั้น ๆ เส้นแนวนอนตัวหนาเป็นตัวแทนของขีด จำกัด ของสถานะพลังงานอิเล็กทรอนิกส์ ภายในแต่ละสถานะพลังงานอิเล็กทรอนิกส์จะมีสถานะพลังงานไวโบรนิกหลายสถานะที่อาจอยู่คู่กับสถานะอิเล็กทรอนิกส์ โดยปกติจะแสดงเฉพาะบางส่วนของลักษณะเฉพาะของการสั่นสะเทือนเหล่านี้เนื่องจากมีการสั่นสะเทือนที่เป็นไปได้จำนวนมากในโมเลกุล สถานะพลังงานการสั่นสะเทือนแต่ละสถานะสามารถแบ่งย่อยได้อีกเป็นระดับพลังงานหมุนเวียน อย่างไรก็ตามแผนภาพ Jablonski ทั่วไปจะละเว้นระดับรายละเอียดที่เข้มข้นเช่นนี้ เมื่อสถานะพลังงานอิเล็กทรอนิกส์เพิ่มขึ้นความแตกต่างของพลังงานจะน้อยลงอย่างต่อเนื่องในที่สุดก็กลายเป็นความต่อเนื่องที่สามารถเข้าใกล้กลศาสตร์คลาสสิกได้ นอกจากนี้เมื่อระดับพลังงานอิเล็กทรอนิกส์เข้าใกล้กันมากขึ้นการทับซ้อนกันของระดับพลังงานไวโบรนิกจะเพิ่มขึ้น
รูปที่ 1: รากฐานของแผนภาพ Jablonski ทั่วไป
ด้วยการใช้เส้นตรงและเส้นโค้งตัวเลขเหล่านี้แสดงการเปลี่ยนแปลงระหว่างสถานะเฉพาะที่เกิดขึ้นจากการเปิดรับโมเลกุลไปยังความยาวคลื่นแสงเฉพาะ เส้นตรงแสดงการแปลงระหว่างโฟตอนของแสงและพลังงานของอิเล็กตรอน เส้นโค้งแสดงการเปลี่ยนผ่านของอิเล็กตรอนโดยไม่มีปฏิสัมพันธ์กับแสง ภายในแผนภาพ Jablonski แสดงให้เห็นว่าอิเล็กตรอนสามารถรับและกระจายพลังงานจากโฟตอนที่มีความยาวคลื่นเฉพาะได้อย่างไร ดังนั้นไดอะแกรมส่วนใหญ่เริ่มต้นด้วยลูกศรที่มาจากสถานะอิเล็กทรอนิกส์ภาคพื้นดินและจบด้วยลูกศรไปที่สถานะอิเล็กทรอนิกส์ภาคพื้นดิน
ที่มา: Jordan McEwen(UCD).(2020). Jablonski diagram[Online],สืบค้นเมื่อ 31 พฤษภาคม 2564.จาก. https://chem.libretexts.org/
บทที่ 3
วิธีการจัดทำโครงงาน
3.1 วัสดุและอุปกรณ์
3.1.1 น้ำยางพรีวัลคาไนซ์
3.1.2 สารเรืองแสงสีเขียว
องค์ประกอบของสารเรืองแสง
องค์ประกอบ
SrO
Al2O3
K2O
CaO
I2O5
สัดส่วนโดยน้ำหนัก(%)
69.98
22.93
6.20
1.03
0.26
ตารางที่ 6
ที่มา : พิชญ์ดนู ธวัชพันธุ และ จักรกฤษณ์ มหัจฉริยวงศ “ผลของสารเรืองแสงต่อการเรืองแสงและความแข็งของยางที่ผลิตจากน้ำยางคอมปาวด์” ใน การประชุมเสนอผลงานวิจัยระดับชาติ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมธิราช ครั้งที่ 7 (2017).
3.1.3 เครื่องผสมสารให้เป็นเนื้อเดียว (homogenizer)
3.1.4 เครื่องทดสอบความเข็มของแสง (Spectrofluoromrter Horiba fluoroMax – 4P)
3.1.5 เครื่องทดสอบการคงอยู่และการลดลงของสารเรืองแสง (Luminaneo meter Minolta LS-100)
3.2 วิธีการดำเนินงาน
3.2.1 เตรียมน้ำยางแล้วบ่มในอุณหภูมิห้อง 3 วัน
3.2.2 นำน้ำยางที่บ่มแล้วมาผสมกับสารเรืองแสง 5%,10%และ15% เพื่อหาปริมาณของสารเรืองแสงที่เหมาะสม
3.2.3 กวนน้ำยางผสมสารเรืองแสงด้วยความเร็ว 100 รอบต่อนาที เป็นเวลา 5 นาที
3.2.4 นำน้ำยางที่ได้ไปขึ้นรูปขนาด 5 x 5 เซนติเมตร มีความหนา 3 มิลลิเมตร แล้วอบด้วยอุณหภูมิ 70 องศาเซลเซียส จนน้ำยางแข็งตัว
3.2.5 ล้างทำความสะอาดด้วยการต้มที่อุณหภูมิ 70 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 3 นาที พักไว้ให้แห้งแล้วนำไปทดสอบ
3.3 การวิเคราะห์สมบัติของชิ้นงานตัวอย่าง
3.3.1 การทดสอบความเข้มของการเรืองแสงใช้เครื่อง Spectrofluorometer (Horiba fluoroMax-4P) ที่ติดตั้ง ด้วยหลอดไฟอาร์คชีนอน 150 วัตต์ เป็นแหล่งพลังงานกระตุ้น โดยใช้ความยาวคลื่น 375 นาโนเมตร เพื่อวัดหาค่าความเข้ม ของการเรื่องแสงในช่วงความยาวคลื่นการปลดปล่อยแสงของสารเรืองแสง
3.3.2 การทดสอบการคงอยู่แสะการลดลงของการเรื่องแสงโดยใช้เครื่อง Luminance meter (Minolta LS-100) โดยตัวอย่างแต่ละชิ้นจะถูกกระตุ้นพลังงานด้วยหลอดฟลูออเรสเซนต์ (Philips tornado 12 w) ในห้องมืดเป็นเวลา 5 นาทีที่ อุณหภูมิห้อง หลังจากการกระตุ้นเสร็จแล้วจะวัดค่าความสว่างทันทีและวัดต่อจนถึงช่วงเวลาที่ 120 วินาที และรายงานผล ความสว่างตามเวลาที่กำหนด
3.3.3 การทดสอบการคงอยู่แสะการลดลงของการเรื่องแสงโดยใช้เครื่อง Luminance meter (Minolta LS-100) โดยตัวอย่างแต่ละชิ้นจะถูกนำไปตากแดดเป็นเวลา 6 ชั่วโมง หลังจากการกระตุ้นเสร็จแล้วจะวัดค่าความสว่างทันทีและวัดต่อจนถึงช่วงเวลาที่ 120 วินาที และรายงานผล ความสว่างตามเวลาที่กำหนด