คำวิเศษณ์
คำที่ทำหน้าที่ขยายในภาษาไทยอีกคำหนึ่งที่จะลืมไปเสียไม่ได้นั่นคือ คำวิเศษณ์ ทำหน้าที่ขยายความในประโยคให้มีความชัดเจนยิ่งขึ้น การขยายคำก็มีหลายประเภท เช่น คำนาม คำสรรพนาม คำกริยา หรือแม้แต่คำวิเศษณ์ด้วยกันเองก็ขยายได้
คำวิเศษณ์จะเป็นคำที่ใช้บอกลักษณะต่าง ๆ เช่น บอกเวลา บอกรูปพรรณสัณฐาน รูป รส สี กลิ่น บอกสถานที่
1. ลักษณะวิเศษณ์
เป็นคำวิเศษณ์ที่บอกลักษณะต่าง ๆ
บอกชนิด เช่น ดี ชั่ว
บอกสี เช่น ดำ ขาว แดง เทา เขียว เหลือง ชมพู ฟ้า
บอกขนาด เช่น เล็ก ใหญ่ จิ๋ว
บอกเสียง เช่น ปัง โครม เปรี้ยง
บอกกลิ่น เช่น หอม เหม็น ฉุน สาบ
บอกรส เช่น ขม หวาน เผ็ด จืด เค็ม เปรี้ยว มัน
บอกสัณฐาน เช่น กลม แบน เหลี่ยม
บอกความรู้สึก เช่น เย็น ร้อน หนาว อึดอัด
ตัวอย่าง
ดอกไม้ชนิดนี้มีกลิ่นหอม
เสียงฟ้าผ่าดังเปรี้ยง
ขนมทองหยอดมีรสหวาน
วันนี้อากาศร้อน
แตงโมลูกใหญ่
บอระเพ็ดมีรสขม
2. กาลวิเศษณ์ เป็นคำวิเศษณ์ที่บอกเวลา เช่น เช้า สาย เที่ยง บ่าย เย็น ค่ำ ปัจจุบัน อดีต อนาคต
ตัวอย่าง
แม่ไม่ชอบนอนตื่นสาย
ชาวนากลับบ้านมาตอนค่ำ
สุดาไปโรงเรียนแต่เช้า
3. สถานวิเศษณ์ เป็นคำวิเศษณ์ที่บอกสถานที่ บอกทิศทาง เช่น เหนือ ใต้ ไกล ใกล้ บน ล่าง
ตัวอย่าง
เขาอยู่เหนือ
แม่อยู่ใกล้
ดาวเหนืออยู่ไกล
ข้อควรระวัง
สถานวิเศษณ์ ถ้ามีคำนาม คำสรรพนามมาอยู่ข้างหลังคำวิเศษณ์ชนิดนี้ คำวิเศษณ์คำนั้นจะเป็นคำบุพบททันที
เช่น เขาอยู่เหนือฉัน (เหนือ เป็นคำวิเศษณ์ , ฉันเป็นคำสรรพนาม ดังนั้นคำว่า “เหนือ” ในประโยคนี้จะเป็นคำบุพบททันที
4. ประมาณวิเศษณ์
เป็นคำวิเศษณ์ที่บอกจำนวนที่แสดงจำนวนนับ หรือบอกปริมาณ เช่น หนึ่ง สอง สาม ที่หนึ่ง ที่สอง ที่สาม มาก น้อย คนละ บ้าง เป็นต้น
ข้อควรจำ
การเขียนประมาณวิเศษณ์ที่เป็นจำนวนนับจะเขียนเป็นตัวเลข หรือจะเขียนเป็นตัวหนังสือก็ได้
ตัวอย่าง
สมชายวิ่งแข่งได้ลำดับที่หนึ่ง
สมศรีประกวดนางนพมาศได้อันดับสอง
5. นิยมวิเศษณ์
เป็นคำวิเศษณ์ที่บอกการชี้เฉพาะ จะมีคำว่า นี่ นั่น โน่น ทั้งนี้ ทั้งนั้น อย่างนี้ อย่างนั้น ดังนี้ ดังนั้น เป็นต้น อยู่ในประโยค
ตัวอย่าง
สุดานี่ช่างไม่รู้จักตานั่นเอาเสียเลย
สมชายต้องทำอย่างนี้อย่าทำอย่างนั้น
6. อนิยมวิเศษณ์
เป็นคำวิเศษณ์ที่ตรงกันข้ามกับนิยมวิเศษณ์ คือเป็นคำวิเศษณ์ที่ไม่ชี้เฉพาะ จะมีคำว่า ไหน อะไร ทำไม อยู่ในประโยค แต่จะต้องไม่ใช้เป็นประโยคคำถาม
ตัวอย่าง
พ่อดูหนังอะไรช่วงไหนก็ได้
7. ปฤจฉาวิเศษณ์
เป็นคำวิเศษณ์ที่ใช้ประกอบเนื้อความเป็นคำถาม หรือการสงสัย จะมีคำว่า ใด ไหม อะไร ทำไม อย่างไร เท่าไร ฯลฯ ในประโยค
ตัวอย่าง
สิ่งใดอยู่ในกระเป๋าเธอรู้ไหม
แดงขี่ม้าตัวไหนก็ได้
8. ประติชญาวิเศษณ์
เป็นคำวิเศษณ์ที่ใช้ในการร้องเรียก หรือการขานรับ
คำวิเศษณ์ชนิดนี้ใช้สำหรับทำให้ภาษาดูไพเราะสละสลวยขึ้น จะมีคำว่า ครับ ค่ะ จ๊ะ จ๋า ขอรับ ขอรับกระผมคำราชาศัพท์ที่เป็นคำรับ เช่น พระพุทธเจ้าข้า เป็นต้น
ตัวอย่าง
ลูกจ๋ามาหาแม่หน่อย
คุณครูครับผมขอไปห้องน้ำ
ท่านขุนขอรับกระผมขอตามไปด้วย
9. ประติเษธวิเศษณ์
เป็นคำวิเศษณ์ที่ใช้ในการบอกปฏิเสธ การแสดงการไม่ยอมรับ จะมีคำว่า ไม่ ไม่ใช่ มิใช่ มิได้ มิ หามิได้ เป็นต้น
ตัวอย่าง
ปราณีไม่ทำงานก็มิเป็นไร
เด็กในบ้านมิได้เป็นลูกหลานคุณตา
10. ประพันธวิเศษณ์
เป็นคำวิเศษณ์ที่ใช้ประกอบคำกริยา หรือคำวิเศษณ์ด้วยกันเอง เพื่อให้มีใจความเกี่ยวข้องกันจะมีคำว่า ที่ ซึ่ง อัน อย่างที่ ว่า คือ เพื่อว่า ชนิดที่ เป็นต้น
ตัวอย่าง
ดำกินจุอย่างที่คนอื่นไม่ทำกัน
ข้อควรจำ
คำวิเศษณ์ที่ไม่เข้าพวก หรือไม่จัดอยู่ในลักษณะของชนิดคำวิเศษณ์ใดเลยในข้อ 2 – 10 ให้จัดเป็นลักษณวิเศษณ์ทั้งสิ้น
คำวิเศษณ์บางคำมีรูปเหมือนคำบุพบท แต่ให้จำว่าคำวิเศษณ์ต้องใช้ประกอบคำที่อยู่ข้างหน้า ส่วนจะมีคำตามหลังหรือไม่ก็ได้ ถ้ามีคำตามหลังต้องเป็นบทขยายหรือเป็นกรรม อาทิ คำว่า ใกล้ ไกล ใน ใต้ เป็นต้น ตัวอย่างเช่น เขาอยู่ใกล้ เธออยู่เหนือ แม่อยู่ใต้