ทอดกฐิน
คำว่า กฐิน แปลตามศัพท์ว่า กรอบไม้สำหรับขึงผ้าเย็บจีวรของ ภิกษุ กรอบไม้ชนิดนี้ ไทยเราเรียกว่า "สะดึง" ฉะนั้นที่เราเรียกว่า ผ้ากฐิน ก็เพราะเมื่อจะเย็บต้องขึงผ้าให้ตึงด้วยไม้สะดึงนั้นแล้วจึงเย็บ ในครั้งกระโน้น เมื่อช่างเย็บไม่ชำนาญในการเย็บจีวรทั้งเครื่องจักรก็ไม่มีใช้อย่างเวลานี้ จึง ต้องอาศัยไม้สะดึงช่วยขึงเป็นหลักก่อนแล้วจึงเย็บ เป็นอันได้ความว่า ผ้ากฐิน ก็คือผ้าที่สำเร็จขึ้นได้เพราะอาศัย กฐิน คือ สะดึง เมื่อสำเร็จเป็นผ้ากฐิน แล้วก็นำไปทอดแก่ภิกษุผู้อยู่จำพรรษาแล้วตลอด ๓ เดือน เรียกว่า ทอด กฐิน คำว่า ทอด คือวางไว้ ทอดกฐินก็คือนำผ้ากฐินไปวางไว้ต่อหน้าสงฆ์ อย่างน้อย ๕ รูป โดยมิได้ตั้งใจถวายแก่รูปใดรูปหนึ่ง แล้วแต่พระท่านจะ มอบหมายให้กันเอง
การทอดกฐินมีกำหนดระยะเวลา คือตั้งแต่แรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ ไป จนถึงกลางเดือน ๑๒ เป็นหมดเขต จะทอดก่อนหรือหลังจากนี้ไม่ได้
เหตุที่จะเกิดการทอดกฐินขึ้นนั้นมีเรื่องว่า ภิกษุชาวเมืองปาฏลิรัฐ ๓ องค์จะมาเฝ้าสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ณ วัดเชตวัน แต่มาไม่ทันพรรษา จึงพักจำพรรษาเสียที่เมืองสาเกต พอออกพรรษาแล้วก็รีบจะมาเฝ้าสมเด็จพระ สัมมาสัมพุทธเจ้า เดินตรำฝนทนแดดมาตามทางที่มีเปือกตม ผ้าจีวรก็เปียก ชุ่มไปด้วยน้ำฝน จนมาถึงวัดเชตวันสมเด็จพระบรมศาสดาทรงทราบถึงความ ลำบากของภิกษุเหล่านั้น จึงทรงพระพุทธานุญาตให้ภิกษุเหล่านั้นรับผ้ากฐิน ในระยะเวลาหลังออกพรรษาไปแล้วหนึ่งเดือน จึงได้เป็นประเพณีทำกันมา พระภาคทรงบัญญัติสิกขาบทเพิ่มเติมผ่อนผันหาความสะดวกในธรรมวินัย ประทานพระบรมพุทธานุญาตให้ภิกษุผู้จำพรรษาครบ ๓ เดือน มีจีวรเก่ากว่า เพื่อน และฉลาดในธรรมวินัยเป็นผู้รับกฐิน และให้ภิกษุที่จำพรรษาด้วย กันอนุโมทนา เป็นอันได้ชื่อว่าได้รับอานิสงส์ ลดหย่อนผ่อนผันจากธรรม วินัยบางข้อ คือเข้าไปในละแวกบ้านโดยไม่ต้องอำลาเป็นต้น
ประเพณีทอดกฐินสมัยนี้ ถ้าเป็นพระอารามหลวง ก็เสด็จพระราช ดำเนินไปพระราชทานบ้าง พระราชทานให้พระบรมวงศานุวงศ์และข้าราช การไปทอดบ้าง พระราชทานกระทรวงทบวงกรมต่าง ๆ บ้าง เรียกว่ากฐิน หลวง ถ้าเป็นวัดราษฎร์ ชาวบ้านก็จัดการทอดเอง บางทีก็รวมกันออก ทรัพย์คนละเล็กคนละน้อยจัดเป็นกฐินสามัคคีขึ้น ถ้าจะทอดวัดใด ก็ไปปิด สลากบอกไว้ที่วัดนั้น เรียกว่า จองกฐิน โดยมากปิดบอกไว้ตั้งแต่ยังไม่ออก พรรษาเพื่อให้รู้กันทั่ว ๆ ไป พอออกพรรษาแล้วก็กำหนดวันให้พระสงฆ์ทราบ แล้วเตรียมผ้ากฐินและสิ่งของบริวารอันได้แก่ของที่จำเป็นแก่พระ จัดตาม สติกำลังของตน เมื่อถึงวันทอดก็ช่วยกันขนไปยังพระอุโบสถ พิธีทอดกฐิน มักทำกันครึกครื้น มีแห่แหนสนุกสนานกว่ากุศลวิธีอย่างอื่น เมื่อพร้อมกัน ที่วัดแล้ว ก็ทำสัญญาเป็นต้นว่า ตีระฆังให้พระสงฆ์ประชุมกัน เมื่อพระ สงฆ์ประชุมกันพร้อมแล้ว ผู้เป็นเจ้าของกฐินก็อุ้มผ้ากฐินนั่งหรือยืนหันหน้า ไปทางพระประธาน ตั้งนโม ๓ หน แล้วหันหน้ามาทางพระสงฆ์ กล่าวคำ ถวายผ้ากฐิน ๓ ครั้ง คำถวายนั้นมี แบบ คือธรรมยุตแบบหนึ่ง มหา นิกายแบบหนึ่ง
ถวายอย่างธรรมยุตว่า อิมัง ภนเต สปริวารัง กฐินทุสฺสัง อุททิษฺสามิ สาธุ โน ภนเต อิมัง ปฏิคฺคณฺหาตุ
ความว่า "ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลายขอน้อมถวายผ้า กฐินกับทั้งบริวารเหล่านี้ แก่พระสงฆ์ ขอพระสงฆ์จงรับผ้ากฐินกับทั้งบริวาร เหล่านี้ของข้าพเจ้าทั้งหลาย รับแล้วจงกรานกฐินด้วยผ้านี้ เพื่อประโยชน์ และความสุขแก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย สิ้นกาลนานเทอญ"
ถวายอย่างมหานิกายว่า อิมํ สปริวารํ กฐินจีวรทานํ สงฺฆสฺส โอโณชยาม (ว่า ๓ หน)
ความว่า "ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอน้อมถวายผ้ากฐินจีวร กับทั้งบริวาร นี้แก่พระสงฆ์" พอจบคำถวาย พระสงฆ์ก็รับ สาธุ พร้อมกันแล้วประเคน ไตรกฐินแก่ภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง ซึ่งอยู่ตรงหน้าหรือจะวางไว้เฉยๆ ก็ได้ แล้ว ถวายเครื่องบริวารตามเวลาอันสมควร ต่อแต่นั้นพระสงฆ์ท่านก็จัดการมอบ ผ้ากฐินแก่ภิกษุสมควรได้รับ เป็นอันหมดหน้าที่ของเจ้าของกฐิน เมื่อฟัง อนุโมทนาเสร็จแล้ว ก็กลับได้ ต่อไปเป็นหน้าที่ของพระท่านจะได้ทำพิธี กรานกฐินต่อไป
พิธีกรานกฐินนั้นคือ พระภิกษุผู้รับกฐิน นำผ้ากฐินไปทำไตรจีวร ผืนใดผืนหนึ่ง เมื่อทำเสร็จจนถึงย้อมและผึ่งแห้งแล้ว พระสงฆ์ลงประชุมใน พระอุโบสถ แล้วท่านผู้รับกฐินกระทำปัจจุทธรณ์ คือการถอนผ้าเก่า อธิษ- ฐานผ้ากฐินใหม่เพื่อให้เป็นไตรจีวรต่อไป ครั้นแล้วพระภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง จะเป็นท่านผู้ครองกฐินหรือผู้อื่นก็ได้ ขึ้นบนธรรมาสน์และแสดงธรรมเทศนา ธรรมเทศนาที่แสดงในครั้งนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับกฐิน
เมื่อเทศน์จบ ท่านผู้เทศน์ลงจากธรรมาสน์นั่งเป็นปกติแล้วท่านผู้รับ กฐินกราบพระนั่งคุกเข่าตั้งนะโม ๓ หน แล้วเปล่งวาจากราลกฐินตามที่ผ้า กฐินนั้นทำเป็นจีวรผืนใด ถ้าเป็นสังฆาฏิ (ผ้าพาด) ให้ว่า อิมาย สังฆาฏิยา กริน์ อตุทรามิ ๓ หน ถ้าเป็นอุตตราสงค์ (ผ้าห่ม) ให้ว่า อิมาย อุตตราสงฺเขน กฐินํ อตุลรามิ ๓ หน ถ้าเป็นอันตราวาสก (ผ้านุ่ง) ให้ว่า อิมินา อันตราวาสเกน กฐินํ อตุทรามิ ๓ หน จบแล้วให้สงฆ์ทั้งปวงนั่งคุกเข่าขึ้น พร้อมกันกราบ ๓ หน แล้วตั้งนะโมพร้อมกับท่านผู้ครองกฐินด้วย เมื่อตั้ง นะโม ๓ จบแล้ว ท่านผู้รับกฐินหันหน้ามาหาสงฆ์ประกาศการกราลกฐินดังนี้ อตุลติเถยยส สงฺโฆสุ กฐินํ ธมฺมิโก กฐินตุกาโร อนุโมทามิ ๓ หน นี้สำหรับท่านผู้ครองกฐินมีพรรษายุกาลกว่าภิกษุอื่นทั้งหมด ถ้าภิกษุอื่นมี พรรษายุกาลมากกว่าท่านผู้ครองกฐินมีอยู่ในที่นั้นตั้งแต่รูปหนึ่งขึ้นไป ให้ เปลี่ยนคำว่า อตุลติเถยยส เป็น อาวุโส แล้วให้ภิกษุทั้งปวงออกวาจาอนุโมทนาที ละรูปตามลำดับพรรษาดังนี้
อตุททติเถยยส ภนฺเต สงฺโฆสุ กฐินํ ธมฺมิโก กฐินทาโร อนุมทามิ หน นี้สำหรับผู้อ่อนพรรษากว่าท่านผู้ครองกฐินกล่าว ถ้ามีภิกษุที่แก่พรรษา กว่าท่านผู้ครองกฐินกี่รูปก็ดี ให้ท่านผู้แก่เหล่านั้นเปลี่ยนคำว่า ภนฺเต เป็น อาวุโส
เมื่อออกวาจาทั่วถึงกันแล้ว ให้ว่าพร้อมกันอีกคราวหนึ่ง ๓ หน เหมือนดังว่าเรียงตัวเช่นนั้น เปลี่ยนแต่ อนุโมทามิ เป็น อนุโมทาม ตาม ลักษณะที่เป็นพหูพจน์
เมื่อเสร็จการอนุโมทนากฐินดังนี้แล้ว ให้กราบพระ ๓ หนพร้อมกัน แล้วนั่งเป็นปกติ เริ่มสวดปาฐะและคาถาต่อไปจนจบ เป็นเสร็จการ
กฐิน เป็นพระพุทธบัญญัติสำหรับพระสงฆ์ ส่วนหน้าที่ของทายกก็ เพียงหาผ้าพอทำเป็นไตรจีวรได้ จะเป็นสังฆาฏิหรือจีวรหรือสบงก็ตาม ถวาย ต่อที่ประชุมสงฆ์มิได้ตั้งใจให้บุคคล และสงฆ์ก็ต้องมีอย่างน้อย ๕ รูป เพราะ เป็นผู้รับกฐินเสียรูปหนึ่ง เหลือ ๔ รูปจะได้ครบเป็นองค์สงฆ์ มากกว่า ๕ รูปขึ้นไปใช้ได้ น้อยกว่า ๕ รูปใช้ไม่ได้
จุลกฐิน
วิธีทอดกฐินมีอีกอย่างหนึ่งเรียกว่า จุลกฐิน ถือกันมาแต่โบราณว่า ใครทอดจุลกฐินนี้มีอานิสงส์มาก คือต้องเก็บฝ้ายมาปั้นเป็นด้ายแล้วทอให้ สำเร็จเป็นผืนผ้าในวันเดียว ทำอย่างนี้มีพิธีรีตองมาก ต้องช่วยกันหลายคน พวกปั่นฝ้ายก็ปั่นไป พวกทอก็ทอไป ทำจนสำเร็จเป็นผ้ากฐินแล้วนำไปทอด ในวันเดียวกัน เห็นจะเป็นเพราะเหตุนี้เองจึงเรียกว่าจุลกฐิน คือเป็นผ้าที่ สำเร็จขึ้นด้วยสิ่งเล็ก ๆ เช่นเก็บฝ้ายมาปั่น คือ กรอสาง ทำเป็นเส้นด้ายแล้ว ทอเป็นผ้า ตัดเย็บ ย้อม ในวันเดียว
วิธีทอดจุลกฐินนี้ มีปรากฏในหนังสือคำให้การชาวกรุงเก่าว่า "บาง ทีเป็นของหลวงทำในวันกลางเดือน ๑๒ แล้วนำผ้าจุลกฐินไปทอด" มูลเหตุ ของการทอดจุลกฐินคงเกิดแต่จะทอดในวันที่สุดเช่นนี้ จึงต้องรีบขวนขวาย ทำให้ทัน และในสมัยนั้นคงจะหาผ้าที่ทำสำเร็จได้ยาก ถ้าเป็นสมัยนี้ก็พอจะ หาซื้อผ้าไปทอดได้ ไม่ต้องทอใหม่ แต่ก็มีผู้ศรัทธายังทำจุลกฐินอยู่เหมือนกัน
อานิสงส์กฐิน ท่านว่ามีทั้งแก่ผู้ทอดและผู้รับกฐิน อานิสงส์ของผู้ ทอดกฐินไม่มีกล่าวไว้ในวินัยโดยตรง แต่ก็มีอานิสงส์ยิ่งกว่าการทำบุญอื่น ๆ หาโอกาสทำได้ยาก ไม่เหมือนการทำบุญอย่างอื่นซึ่งนึกจะทำเวลาใดก็ได้ การทอดกฐินต้องทำให้ถูกกับเวลาที่กำหนดไว้ หากพลาดไปก็หมดโอกาส และยังมีทางที่จะทำให้พิเศษยิ่ง ๆ ขึ้นไปอีกก็ได้ เพื่อให้จิตใจปลื้มยินดี ในการกุศลที่ได้ทำมากขึ้น ซึ่งได้แก่การทำจุลกฐินดังกล่าวมาแล้ว ส่วน อานิสงส์ของผู้รับนั้นมีหลักฐานแน่นอนอยู่ในวินัย ประการ คือ.--
๑. เข้าบ้านได้ โดยไม่ต้องบอกลาพระภิกษุด้วยกัน
๒. เดินทางโดยไม่ต้องเอาไตรจีวรไปด้วย
๓. ฉันอาหารล้อมวงได้
๔. เก็บจีวรที่ไม่ต้องการใช้ไว้ได้
๕. ลาภที่เกิดขึ้นเป็นของภิกษุผู้จำพรรษาในวัดนั้น
อนึ่ง การทอดกฐินยังมีประเพณีอีกอย่างหนึ่ง คือมักใช้ธงรูปจระเข้ ปักไว้ที่หน้าวัด เพื่อแสดงให้รู้ว่าที่วัดจะมีการทอดกฐิน ผู้ที่ผ่านไปมาจะได้ เนื่องจากถือกันว่า ดาวจระเข้เป็นดาวสำคัญ การเคลื่อนขบวนทัพสมัยโบราณ ต้องรอดูเวลาดาวจระเข้ขึ้นซึ่งเป็นเวลาจวนสว่างแล้ว การทอดกฐินเป็นพิธี ทำบุญที่ถือกันว่ามีอานิสงส์ไพศาล เพราะทำในเวลาจำกัด มีความสำคัญ เท่ากับการเคลื่อนขบวนทัพ ในชั้นเดิมผู้จะไปทอดกฐินต้องเตรียมเครื่องบริ- ขารและผ้าองค์กฐินไว้อย่างพร้อมเพรียงแล้วแห่ไปวัดในเวลาดาวจระเข้ขึ้นไป แจ้งเอาที่วัด นาน ๆ มาก็เลยถือกันว่า ดาวจระเข้เป็นดาวบอกเวลาเคลื่อน องค์กฐิน ต่อมาเห็นจะมีผู้คิดทำธงติดไว้เนื่องในงานทอดกฐินโดยเฉพาะ แต่ มีธงหลายชนิด เมื่อติดไว้แล้วไม่รู้ว่ามีงานอะไร จึงคิดทำธงจระเข้ขึ้น โดย ที่เคยถือกันว่าดาวจระเข้เป็นดาวบอกเวลาเคลื่อนองค์กฐิน อย่างที่สองมี เรื่องเล่าว่า มีอุบาสกคนหนึ่งนำองค์กฐินแห่ไปทางเรือ มีจระเข้ตัวหนึ่ง อยากได้บุญในการทอดกฐิน จึงว่ายตามเรือของอุบาสกนั้นไปด้วย แต่ไป ได้พักหนึ่ง ก็หมดกำลัง จึงบอกแก่อุบาสกนั้นว่า ตนตามไปด้วยไม่ได้แล้ว เพราะเหนื่อยอ่อนเต็มที ขอให้อุบาสกจ้างช่างเขียนภาพของตนที่ธง แล้ว ยกขึ้นไว้ในวัดที่ไปทอดกฐินด้วย อุบาสกก็รับคำของจระเข้แล้วก็ทำตามที่ จระเข้สั่ง ตั้งแต่นั้นมาธงจระเข้จึงปรากฏตามวัดต่าง ๆ ในเวลาที่มีการทอดกฐิน นี้เป็นคำบอกเล่าที่ท่านเล่าให้ฟังกันต่อ ๆ มา รู้ไว้บ้างก็ดีเหมือนกัน.