พระเนมิราช

ในสมัยพุทธกาล เมื่อพระพุทธเจ้าประทับอยู่ในอัมพวันของพระเจ้ามฆเทวะใกล้กรุงมิถิลา ทรงปรารถนาที่จะให้ภิกษุได้สดับเรื่องนรกสวรรค์ จึงได้ทรงเล่าเรื่องพระเนมิราช ดังนี้

พระเนมิราชเป็นพระราชโอรสของพระเจ้ามฆเทวะ แห่งเมืองมิถิลา ทรงครองราชย์ต่อจากพระราชบิดาซึ่งทรงสละราชสมบัติออกทรงบรรพชา เมื่อพระเกศาเริ่มหงอกได้เพียงเส้นเดียว เมื่อพระเนมิราชขึ้นครองราชย์แล้ว ก็ได้บำเพ็ญกุศลกิจเป็นนิจ เช่น ทรงสร้างศาลาทาน บริจาคทรัพย์ และรักษาเบญจศีลสมาทานอุโบสถ ตลอดจนทรงแสดงธรรมสั่งสอนประชาชนให้ตั้งมั่นอยู่ในศีลธรรม ด้วยเหตุดังนี้ ประชาชนของพระองค์ตายไปก็ไปเกิดในสวรรค์ทั้งสิ้น ทำให้พระเกียรติคุณของพระเนมิราชแผ่ไพศาลไปทั่วทุกแห่งหน

ต่อมาพระองค์เกิดความสงสัยว่า ระหว่างทานกับพรหมจรรย์นั้นอย่างไหนจึงจะมีอานิสงส์กว่ากัน ท้าวสักกะเทวราชจึงเสด็จลงมาตอบปัญหาว่า การประพฤติพรหมจรรย์นั้นช่วยให้หลุดพ้นได้ แต่การบริจาคทานไม่ทำให้หลุดพ้น แล้วทรงเล่าเรื่องตัวอย่างให้ฟังว่า มีแม่น้ำอยู่แห่งหนึ่งชื่อสีทา อยู่ระหว่างภูเขาทองสองลูก เป็นแม่น้ำลึกใส อะไรตกลงไปก็ไม่ลอยแม้แต่แววหางนกยูง และที่นี่เป็นที่อยู่ของนักพรตจำนวนหมื่น ซึ่งล้วนแต่สำเร็จอภิญญาสมาบัติ ครั้งหนึ่งนักพรตรูปหนึ่งเหาะไปเมืองพาราณสีและได้ออกบิณฑบาต ถึงบ้านปุโรหิตคนหนึ่ง ปุโรหิตได้นิมนต์ฉันอาหารในบ้าน และถามถึงที่อยู่ของนักพรต นักพรตจึงเล่าให้ฟัง ทำให้ปุโรหิตเกิดศรัทธา จึงทูลขออนุญาตพระเจ้ากรุงพาราณสีออกบวช จากนั้นนักพรตจึงพาปุโรหิตไปยังฝั่งแม่น้ำสีทาและบวชให้ ไม่นานนักปุโรหิตก็สำเร็จอภิญญาสมาบัติ แล้วเกิดความระลึกถึงพระเจ้ากรุงพาราณสี จึงได้เหาะไปยังกรุงพาราณสี เมื่อได้พบกับพระเจ้ากรุงพาราณสีแล้ว พระเจ้ากรุงพาราณสีเกิดความเลื่อมใส แสดงพระราชประสงค์จะบริจาคทานแก่นักพรตทั้งหมดที่อยู่ ณ ฝั่งแม่น้ำสีทา นักพรตปุโรหิตจึงทูลว่า ถ้าพระเจ้ากรุงพาราณสีประสงค์จะบริจาคทานแก่นักพรตทั้งหลายก็จะต้องเสด็จไปยังฝั่งแม่น้ำสีทาเอง พระเจ้ากรุงพาราณสีก็ได้อุตสาหะเสด็จไปถวายไทยทาน ณ ฝั่งแม่น้ำสีทานั้น

ท้าวสักกะเทวราชเล่าเรื่องจบแล้วจึงบอกว่า พระเจ้ากรุงพาราณสีนั้นก็คือพระองค์เอง ที่ได้ถวายทานครั้งยิ่งใหญ่ ผลก็ได้เกิดเพียงในเทวโลก แต่นักพรตที่ได้รับบริจาคทานนั้น ได้ไปเกิดในพรหมโลกทั้งสิ้น การประพฤติพรหมจรรย์จึงประเสริฐกว่าตรัสแล้วก็เสด็จกลับเทวสถาน

เมื่อท้าวสักกะเทวราชกลับไปเทวสถานแล้ว บรรดาเทพเจ้ารู้ข่าวพากันไปร้องขอท้าวสักกะว่า อยากจะได้เห็นพระเนมิราชสักครั้ง ท้าวสักกะจึงให้มาตลีเทพสารถีเทียมรถไปเชิญเสด็จพระเนมิราช มาตลีเทพสารถีรับพระเนมิราชมาแล้ว ก็ทูลถามว่าทางที่ไปเทวโลกนั้นต้องผ่านทางสองทาง คือ ทางของเหล่าชนผู้ทำบาปและทางของเหล่าชนผู้ทำบุญ พระเนมิราชจะเลือกไปทางใดก่อนพระเนมิราชทรงเลือกไปทางนรกก่อน มาตลีเทพสารถีจึงขับรถพาพระเนมิราชผ่านไปทางนรกแหล่งต่าง ๆ และทูลอธิบายถึงกรรมเก่าของสัตว์นรกที่กำลังรับกรรมอยู่นั้นทุกแห่งไป ขณะที่มาตลีเทพสารถีขับรถพาพระเนมิราชทอดพระเนตรยังไม่ทั่วนรก เทพบุตรองค์หนึ่งก็เข้าไปแจ้งว่า มีเทวบัญชาให้พระเนมิราชไปเทวโลกโดยเร็ว มาตลีเทพสารถีจึงพาพระเนมิราชไปยังทางเหล่าชนผู้ทำบุญและทูลเล่าถึงกรรมต่าง ๆ ที่เทพบุตรเหล่านั้นได้กระทำมาแต่หนหลังให้ฟังทุกแห่งเช่นกัน เสร็จแล้วจึงพาเสด็จไปยังสำนักของท้าวสักกะเทวราช ซึ่ง ณ ที่นั้นบรรดาเทพเจ้าทั้งหลายได้คอยอยู่แล้วท้าวสักกะจึงเชิญให้พระเนมิราชขึ้นประทับบนทิพยอาสน์ และบรรดาทวยเทพทั้งหลายต่างร้องขอให้พระเนมิราชประทับอยู่เสีย ณ ที่นั้น แต่พระเนมิราชทรงปฏิเสธ โดยให้เหตุผลว่าสิ่งที่ได้มา เพราะผู้อื่น ย่อมไม่เป็นสิทธิแก่พระองค์ พระองค์จะกลับไปมนุษยโลกและจะบริจาคทานรักษาศีล เพื่อให้ได้รับผลคือความสุขอันเป็นสิทธิของพระองค์อย่างแท้จริง พระเนมิราชประทับอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ได้ ๗ วัน ก็เสด็จกลับมนุษยโลก แล้วได้ตรัสเล่าเรื่องที่พระองค์ได้ผ่านพบเห็นมา ตั้งแต่ไปทอดพระเนตรสัตว์นรกและวิมานบนสวรรค์ให้ราษฎรฟัง แล้วตรัสสอนราษฎรหากผู้ใดต้องการได้ไปอยู่วิมานก็ให้ประพฤติตนในทางบริจาคทานรักษาศีล เพื่อกุศลจะได้ส่งให้ไปสู่ความสุขตามประสงค์

ส่วนพระเนมิราชนั้นได้ครองราชสมบัติมาโดยชอบธรรมจนถึงวันพระเกศาเส้นแรกเริ่มหงอก ก็ทรงออกบรรพชาเจริญพรหมวิหารสำเร็จอภิญญาสมาบัติ ดังนั้นเมื่อสวรรคตก็ได้ไปบังเกิดบนเทวโลก