พระสุวรรณสาม
ในสมัยพุทธกาล เมื่อพระพุทธองค์ประทับอยู่ ณ เชตวนาราม มีภิกษุรูปหนึ่งบิณฑบาตหาเลี้ยงบิดามารดาเป็นเนืองนิจ ต่อมาได้มีภิกษุองค์อื่น ๆ พากันติเตียนการกระทำของภิกษุรูปนั้น พระภิกษุรูปนั้นจึงละทิ้งการปฏิบัติบิดามารดาเสีย พระพุทธองค์ทรงสดับข่าวก็ตรัสว่า การที่ภิกษุรูปนั้นได้อุปการะบิดามารดาเป็นการกระทำที่ถูกต้องแล้วและพระพุทธองค์เองได้เคยทรงทำมาในปางก่อน แล้วทรงเล่าเรื่องพระสุวรรณสาม ดังนี้
ครั้งหนึ่งในอดีตกาล มีนายพรานสองคน มีบ้านอยู่คนละฝั่งแม่น้ำ ทั้งสองเป็นสหายรักใคร่กันมาก ต่างได้สัญญากันไว้ว่าถ้ามีลูกสาวและลูกชายจะให้แต่งงานกัน ต่อมาฝ่ายหนึ่งมีลูกชายชื่อทุกรกุมาร อีกฝ่ายหนึ่งมีลูกสาวชื่อ ปาริกากุมารี ทั้งทุกรกุมารและปาริกากุมารี ต่างเป็นคนยึดมั่นในศีลธรรม ไม่ปรารถนาจะแต่งงาน แต่ไม่อาจบิดพริ้วสัญญาของบิดามารดาได้ จึงยอมแต่งงานกันแล้วขออนุญาตบิดามารดาออกบวช เจริญเมตตาพรหม-วิหารพำนักในอาศรมในป่า
เวลาล่วงมาท้าวสักกะเทวราช ทรงเล็งเห็นภัยจะเกิดกับทุกรดาบสและปาริกาดาบสินี จึงลงมาแนะให้ทั้งสองมีลูกไว้ปรนนิบัติ โดยให้ทุกรดาบสเอามือลูบท้องปาริกาดาบสินีในขณะมีระดู นางปาริกาตั้งครรภ์ ครั้นครบกำหนดนางก็คลอดบุตรผิวดุจทองคำจึงให้ชื่อว่าสุวรรณสามกุมาร โดยมีเหล่านางกินรีที่อยู่บนภูเขาแถบนั้นช่วยเลี้ยงดูในเวลาที่นางปาริกาไปหาผลไม้ สุวรรณสามกุมารเจริญเติบโตอยู่ในป่าจนอายุได้ ๑๖ ปี
วันหนึ่งทุกรดาบสและปาริกาดาบสินีหายจากหาผลไม้ เดินมากลางทางเกิดฝนตก ทั้งสองจึงแวะพักใต้ร่มไม้ติดกับจอมปลวกที่จอมปลวกนั้นมีอสรพิษอาศัยอยู่ น้ำฝนไหลจากคนทั้งสองลงไปในรูทำให้อสรพิษได้กลืนเหงื่อไคลของมนุษย์ก็โกรธ พ่นพิษออกมาถูกตาคนทั้งคู่บอดสนิท กรรมนี้เกิดสืบเนื่องมาจากชาติที่แล้วครั้งทุกรดาบสเป็นหมอตา นางปาริกาเป็นภรรยา ได้ทำการรักษาคนไข้ผู้หนึ่งซึ่งมีฐานะร่ำรวยจนหาย แต่แล้วคนไข้ผู้นั้นไม่ยอมจ่ายค่ารักษา คนทั้งคู่จึงผสมยาพิษให้คนไข้นั้นตาบอดลงอีกครั้ง
ฝ่ายสุวรรณสามรอบิดามารดาอยู่ที่อาศรมไม่เห็นกลับตามกำหนด จึงออกติดตามไปพบบิดามารดาที่กลางทาง ทราบความแล้วสุวรรณสามก็หัวเราะแล้วร้องไห้ เมื่อบิดามารดาสงสัยสุวรรณสามก็อธิบายว่าร้องให้เพราะพ่อและแม่ต้องเสียตาไป และหัวเราะเพราะดีใจที่ตนจะได้ปรนนิบัติพ่อแม่เป็นการทดแทนบุญคุณ
นับจากวันนั้นสุวรรณสามก็ปรนนิบัติบิดามารดา หาผลไม้ ต้มน้ำ อาบน้ำให้บิดามารดา เมื่อหนาวก็ก่อไฟให้ผิง ถึงเวลาก็จัดผลไม้ให้บริโภค ตนเองบริโภคเมื่อเหลือจากบิดามารดาแล้ว เป็นอย่างนี้อยู่เนืองนิจ
วันหนึ่งบังเอิญมีเหตุให้ท้าวบิลยักขราช พระราชาแห่งพาราณสี เสด็จออกล่าสัตว์ มาถึงท่าน้ำที่สุวรรณสามมาตักอยู่เป็นประจำ ทรงเห็นรอยเท้าเนื้อระเกะระกะไปหมด ก็ซุ่มรอจังหวะยิง ฝ่ายสุวรรณสามถึงเวลาก็มาตักน้ำตามปกติ เมื่อเวลาเดินมานั้นมีฝูงเนื้อติดตามห้อมล้อมฝูงใหญ่ ทำให้ท้าวบิลยักขราชสงสัยว่าสุวรรณสามเป็นใคร และเพราะเกรงว่าสุวรรณสามจะหนีไปเสียก่อน จึงทรงยิงธนูอาบยาพิษไปถูกลำตัวสุวรรณสามล้มลง สิ่งแรกที่สุวรรณสามทำคือวางหม้อน้ำแล้วกราบไปทางทิศที่บิดามารดาอยู่ แล้วพูดด้วยเสียงอ่อนโยนดังที่ทำอยู่เป็นนิจว่า ตนไม่เคยมีศัตรู ร่างกายก็ทำประโยชน์อะไรไม่ได้ ใครหนอที่มาคิดยิง ท้าวบิลยักขราชได้ทรงเห็นความไม่โกรธของสุวรรณสามก็ประหลาดพระทัยเป็นอย่างยิ่ง ปรากฏพระองค์ออกไปและถามเรื่องของสุวรรณสาม ครั้นได้ทรงทราบก็บังเกิดความเศร้าสลดในพระทัย ตรัสรับภาระในการเลี้ยงดูบิดามารดาของสุวรรณสาม ฝ่ายสุวรรณสามทนเจ็บปวดไม่ไหวก็สิ้นสติไป ทำให้ท้าวบิลยักขราชตกพระทัยมากขึ้น ทรงปริเทวนาการคร่ำครวญอยู่ ณ ที่นั้น ขณะนั้นนางเทพธิดาพสุนธรีซึ่งสถิต ณ เขาคันธมาทน์ นางเคยเป็นมารดาของสุวรรณสามในอัตภาพที่เจ็ด ทราบเรื่องทั้งหมดจึงออกจากเขา เปล่งเสียงโดยไม่ปรากฏกายเตือนให้ท้าวบิลยักขราชเลี้ยงดูบิดามารดาของสุวรรณสามให้เหมือนสุวรรณสามแล้วจึงจะได้ไปสวรรค์ ท้าวบิลยักขราชจึงตกลงพระทัยจะอยู่เลี้ยงดูบิดามารดาของสุวรรณสามตลอดไป ไม่กลับไปกรุงพาราณสีอีก แต่เมื่อพระองค์เสด็จไปยังอาศรมรับสารภาพกับบิดามารดาของสุวรรณสามแล้ว แม้คนทั้งสองจะโศกเศร้าถึงสุวรรณสามมากเพียงใด ก็ไม่ยอมให้ท้าวบิลยักขราชลดตัวลงมาปรนนิบัติ ทุกูลดาบสและนางปาริกาเพียงแต่ขอให้ท้าวบิลยักขราชพาไปยังศพสุวรรณสาม เมื่อไปถึงนั้นคนทั้งคู่ก็ร้องไห้รำพันถึงสุวรรณสาม ขณะคร่ำครวญด้วยความรักและอาลัยนั้น นางปาริกาคลำไปถูกอกสุวรรณสามยังอุ่นอยู่ ก็รู้ว่าลูกเพียงแต่สลบไป จึงอธิษฐานให้สุวรรณสามฟื้น อธิษฐานจบ สุวรรณสามก็พลิกตัว ทุกูลดาบสจึงอธิษฐานบ้าง สุวรรณสามก็พลิกตัวอีกครั้ง นางเทพธิดาพสุนธรีจึงอธิษฐานต่อ สุวรรณสามก็ฟื้นขึ้น ตาของทุกูลและนางปาริกาก็หายจากบอด ท้าวบิลยักขราชทรงประหลาดพระทัยในเรื่องราวของสุวรรณสาม ทรงประจักษ์ว่าบุคคลที่มีความกตัญญูกตเวทีเลี้ยงดูบิดามารดาด้วยดี แม้ทวยเทพก็อุปถัมภ์คุ้มครองเยียวยาให้หายจากโรคได้ แล้วจึงยึดเอาสุวรรณสามเป็นสรณะ สุวรรณสามก็ถวายโอวาทราชธรรมจรรยาแก่ท้าวบิลยักขราช จากนั้นท้าวบิลยักขราชก็เสด็จกลับกรุงพาราณสี ครองราชสมบัติโดยชอบธรรม บำเพ็ญกุศลกิจเนืองนิจ ฝ่ายสุวรรณสามก็เลี้ยงดูบิดามารดาและบำเพ็ญมานสมาบัติจนสำเร็จ เมื่อสิ้นชีพก็ไปบังเกิดเป็นพรหมอยู่ ณ พรหมโลก