พระเตมีย์
ขณะที่สมเด็จพระบรมศาสดาประทับอยู่ ณ พระเชตวันวิหาร มีภิกษุมาประชุมกัน ณ โรงธรรมสภา และปรารภเรื่องมหาภิเนษกรมณ์บารมีแห่งสมเด็จพระบรมศาสดา พระพุทธองค์ทรงทราบด้วยทิพยโสตจึงเสด็จไปยังโรงธรรมสภา ตรัสถามภิกษุว่าประชุมกันด้วยเรื่องอันใด พระภิกษุเหล่านั้นจึงกราบทูลให้ทรงทราบ สมเด็จพระบรมศาสดาจึงรับสั่งว่า การบำเพ็ญบารมีของพระองค์นั้นทรงทำติดต่อกันมานานแล้ว โดยสละราชสมบัติออกมหาภิเนษกรมณ์ ไม่เป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์อันใด ตรัสจบแล้วก็ทรงคุษณีภาพ พระภิกษุเหล่านั้นจึงกราบทูลวิงวอนให้ทรงแสดงมหาภิเนกขัมบารมี พระพุทธองค์จึงทรงแสดง ดังนี้
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีพระราชาองค์หนึ่งทรงพระนามว่า พระเจ้ากาสิกราชครองนครพาราณสี พระองค์ทรงมีนางสนมประมาณ ๑๖,๐๐๐ คน แต่ไม่มีโอรสและธิดา ประชาราษฎรจึงพากันไปชุมนุมที่พระลานหลวง กราบทูลความวิตกกังวลเรื่องรัชทายาทให้พระเจ้ากาสิกราชทรงทราบ จึงรับสั่งให้นางสนมทั้ง ๑๖,๐๐๐ คนเข้าเฝ้า และทรงขอให้ทุกคนพยายามให้มีโอรส นางสนมทั้งหลายต่างก็เที่ยวบนบานศาลกล่าวขอให้มีโอรสหรือธิดา แต่ก็ไร้ผล พระเจ้ากาสิกราชจึงตรัสสั่งให้พระนางจันทเทวี อัครมเหสี จงปรารถนาพระโอรสเพื่อจะได้รับรัชทายาทสืบต่อไป พระนางก็ทรงรับปฏิบัติโดยการสมาทานศีลอุโบสถในวันเพ็ญอยู่เป็นนิจ ด้วยอานุภาพแห่งศีลอันบริสุทธิ์ของพระนาง พระอินทร์ทรงทราบเหตุ จึงได้ทูลเชิญพระโพธิสัตว์จากดาวดึงส์สพิภพให้บังเกิดในพระครรภ์พระนางจันทเทวีพร้อมด้วยเทพบุตรประมาณ ๕๐ คน ซึ่งจะปฏิสนธิในครรภ์ภริยาอำมาตย์ ขณะที่พระนางจันทเทวีทรงพระครรภ์นั้น พระเจ้ากาสิกราชได้พระราชทานพรแก่พระนางไว้ให้ขออะไรก็ได้ ๑ ประการ แต่พระนางขอถวายพรนั้นคืนแก่พระองค์ไว้ก่อน ต่อมาพระนางจันทเทวีประสูติพระโอรส มีพระสิริโฉมงดงาม พระเจ้ากาสิกราชทรงปีติโสมนัส รับสั่งให้มหาเสนาบดีตรวจดูเด็กที่เกิดสหชาติกับพระโอรสตามบ้านเรือนอำมาตย์ ก็ได้เด็กที่เกิดเป็นสหชาติประมาณ ๕๐ คน จึงพระราชทานเครื่องประดับแก่เด็กเหล่านั้นพร้อมทั้งพระราชทานนางนม ๕๐๐ คน โดยเฉพาะพระโอรสได้พระราชทานนางนม ซึ่งคัดเลือกจากสตรีที่มีลักษณะดี ๖๔ คนเป็นผู้ถวายพระอภิบาล แล้วรับสั่งให้พราหมณ์ผู้รู้พยากรณ์ลักษณะพระโอรส พราหมณ์จึงกราบทูลว่าพระโอรสประกอบด้วยบุญญาบารมีมาก ต่อไปภายหน้าจะได้เป็นพระราชาธิราชในมหาทวีปทั้ง ๔ พระเจ้ากาสิกราชทรงสดับคำพยากรณ์แล้ว ก็ทรงปลาบปลื้มพระทัยพระราชทานนามพระโอรสว่า "เตมียกุมาร"
เมื่อพระเตมียกุมารมีพระชนมายุครบ ๑ เดือน พระอภิบาลนำขึ้นเฝ้าพระราชบิดา ขณะที่พระเจ้ากาสิกราชทรงเชยชมพระกุมารด้วยความเสน่หา ก็พอดีราชบุรุษนำโจร ๔ คนเข้ามายังหน้าพระที่นั่ง พระเจ้ากาสิกราชมีพระดำรัสให้ลงพระอาญาแก่โจร คนหนึ่งให้เฆี่ยนด้วยหวายทั้งหนาม ๑๐๐๐ ที คนหนึ่งให้จำด้วยโซ่ตรวนแล้วส่งเข้าเรือนจำ คนหนึ่งให้เอาหอกแทงตามร่างกาย ส่วนอีกคนหนึ่งให้เอาหลาวเสียบ พระเตมียกุมารทรงสดับพระบัญชาของพระราชบิดา ก็สะดุ้งในพระทัย จินตนาการว่าพระชนกของพระองค์ทรงอาศัยราชสมบัติกระทำกรรมอันหนักเมื่อละจากโลกนี้แล้วจะต้องไปเกิดในนรก
ครั้นวันรุ่งขึ้นนางนมนำพระเตมียกุมาร ไปบรรทมใต้พระมหาเศวตฉัตร ทรงลืมพระเนตรเห็นสิริราชสมบัติอันใหญ่ก็เกิดสะดุ้งหวาดกลัว ทรงพระดำริรำลึกทวนถึงอดีตชาติ ก็ทรงระลึกได้ว่าก่อนที่จะทรงอุบัติมาสู่มนุษยโลกนั้น มาจากเทวโลก ก่อนที่จะมาจากเทวโลกมาจากไหน ก็ทรงทราบว่าเดิมเคยเป็นกษัตริย์นครพาราณสี ๒๐ ปีต้องตกอยู่ในอุสสุทนรก ๘๐,๐๐๐ ปี แต่แล้วพระองค์ก็ต้องมาเกิดอยู่ในเรือนฆ่าโจรอีกจนได้ ถ้าหากพระองค์ได้ครองราชสมบัติก็จะต้องตกนรกอีก จึงทรงดำริหาทางหลีกเลี่ยงที่จะไม่เป็นกษัตริย์ในชาตินี้
ขณะนั้นเทพธิดาซึ่งสิงสถิตอยู่ที่เศวตฉัตรและเคยเป็นพระมารดาของพระองค์ในอดีตชาติ ได้กล่าวปลอบพระองค์ อย่าเศร้าและมิให้เศร้าและกลัว ถ้าพระองค์ปรารถนาจะพ้นจากราชสมบัตินี้ ก็ให้ทำเป็นคนง่อยเปลี้ย หนวก และเป็นใบ้ ให้อธิษฐานองค์ ๓ อย่างดังที่แนะนำแล้ว ให้ทำตัวเป็นคนโง่เขลาคนทั้งปวงจะได้ดูหมิ่นว่าเป็นคนกาลกิณีความประสงค์ของพระองค์ก็จักสำเร็จด้วยอุบายดังกล่าวนี้
พระเตมียกุมารทรงรับทำตามทุกประการ เทพธิดาก็อันตรธานไป ฝ่ายพระเจ้ากาสิกราชทรงพระดำริจะให้พระโอรสมีพระสหายใกล้ชิดเพื่อจะได้พ้นจากความหงอยเหงา จึงรับสั่งให้นำสหชาติกุมาร ๕๐๐ มาอยู่ในพระราชวัง กุมารทั้งหลายนี้เมื่อหิวก็พากันร้องไห้ ส่วนพระกุมารคงบรรทมเฉยอยู่บนพระที่ ควรคนเป็นง่อยเปลี้ย หูหนวก และเป็นใบ้ ไม่กันแสงแต่ อย่างใด นางนมเห็นผิดปกติดังนั้นก็กราบทูลให้พระเจ้ากาสิกราชทรงทราบ พระเจ้ากาสิกราชจึงรับสั่งให้หาพราหมณ์มาปรึกษา พราหมณ์ผู้รู้ธรรมชาติกุมารก็กราบทูลให้ทรงทดลองด้วยอาหารและอุบายต่างๆ จนหมดวิธี พระกุมารก็ไม่ยินดี พระเจ้ากาสิกราชจึงรับสั่งให้หาพราหมณ์ผู้เคยพยากรณ์เข้าเฝ้า ทรงทักท้วงว่าเมื่อพระกุมารแรกประสูติพราหมณ์เคยทำนายลักษณะว่าเป็นผู้ประเสริฐ เหตุใดมาบัดนี้ พระโอรสจึงกลับเป็นง่อยเปลี้ย หูหนวก และเป็นใบ้ พราหมณ์ก็กราบทูลว่า พระโอรสนั้นเป็นกาลกิณีแต่ที่ไม่กล้ากราบทูลเพราะเกรงพระราชอาญา ถ้าหากพระโอรสประทับอยู่ในพระนครสืบไป จะเกิดอันตราย ๓ ประการคือ แก่พระองค์เอง แก่เศวตฉัตร และแก่พระอัครมเหสี แล้วจึงกราบทูลแนะนำให้ขจัดอันตรายดังกล่าว โดยให้เตรียมรถอวมงคลเทียมด้วยม้าอวมงคลนำพระโอรสออกทางประตูทิศตะวันตก นำไปฝังเสียที่ป่าช้าผีดิบ พระเจ้ากาสิกราชทรงสดับคำกราบทูลของพราหมณ์ก็สะดุ้งพระทัยเกรงอันตราย จึงรับสั่งให้จัดการตามที่พราหมณ์กราบทูลแนะนำทุกประการ
ฝ่ายพระนางจันทเทวีทรงทราบรับสั่งก็รีบเสด็จไปเฝ้าพระเจ้ากาสิกราชทูลขอพรตามที่เคยพระราชทานแก่พระนาง โดยขอราชสมบัติให้แก่พระโอรส แต่พระเจ้ากาสิกราชไม่ทรงอนุญาต ในที่สุดให้ครองราชย์ได้เพียง ๒ วัน แล้วโปรดให้ทำพิธีราชาภิเษกและเลียบพระนครตามประเพณี เมื่อครบกำหนด ๗ วันแล้วพระเจ้ากาสิกราชจึงมีรับสั่งให้สุนันท์สารถีจัดรถอวมงคลเทียมด้วยม้าอวมงคล นำพระโอรสออกทางประตูทิศตะวันตกไปฝังที่ป่าช้าผีดิบ สุนันท์สารถีรับพระราชบัญชาแล้วก็ไปจัดการตามรับสั่ง แต่เดชะบารมีของพระเตมียกุมาร เหตุบันดาลให้สุนันท์จัดรถกับม้ามงคลนำพระกุมารมุ่งตรงไปทางประตูทิศตะวันออก พอรถออกจากประตูเมืองแล้ว พระเตมียกุมารก็ทรงดำริว่า ความปรารถนาของพระองค์ซึ่งพยายามมานานถึง ๑๖ ปี ก็สำเร็จลงแล้ว บันดาลให้เกิดปีติโสมนัสเป็นที่สุด
ผ่ายสุนันท์สารถีขับรถออกจากนคร พาราณสีห่างประมาณ• โยชน์ เทวดาก็บันดาลให้พบบ่าชัฏแห่งหนึ่ง จึงจอดรถไว้ข้างทาง แล้วลงจากรถถอดเครื่องทรงพระเตมียกุมารห่อผ้าไว้ แล้วใช้จอบขุดหลุมเตรียมฝังพระเตมียกุมาร ขณะนั้นพระเตมียกุมารก็เสด็จลงจากรถ ทรงทดลองพระกำลังแล้วปรากฏว่าทรงยกรถขึ้นได้ พระองค์จึงทรงดำริจะแต่งพระองค์ พระอินทร์ทรงทราบก็มีเทวบัญชาให้พระวิษณุกรรมเทพบุตรนำเครื่องทรงมาถวาย เมื่อทรงเครื่องเสร็จแล้ว พระเตมียกุมารเสด็จไปตรัสถามสุนันท์สารถีว่าขุดหลุมเพื่ออะไร สุนันท์สารถีก็ตอบโดยมิได้มองผู้ถามว่า ตนจะขุดหลุมฝังพระเตมียกุมารซึ่งเป็นง่อยเปลี้ย หูหนวก และเป็นใบ้ พระเตมียกุมารจึงตรัสต่อไปว่า พระองค์มิได้เป็นง่อยเปลี้ยหูหนวก และเป็นใบ้ตามที่ทุกคนคิด สุนันท์สารถีเงยหน้าขึ้นดูเห็นพระเตมียกุมารทรงเครื่องทิพย์ก็สงสัย ไม่แน่ใจว่าเป็นมนุษย์หรือเทวดา พระเตมียกุมารจึงตรัสว่า พระองค์เองคือพระเตมียกุมาร โอรสพระเจ้ากาสิกราชหาใช่เทวดาไม่ หากสุนันท์สารถีฝังพระองค์จะได้ชื่อว่าประพฤติการอันไม่เป็นธรรม แล้วพระเตมียกุมารก็ตรัสแสดงถึงอานิสงส์แห่งการไม่ประทุษร้ายต่อมิตร จนสุนันท์สารถีเลื่อมใส กลับไปกราบทูลพระเจ้ากาสิกราชให้ทราบ ส่วนพระเตมียกุมารก็ทรงผนวชอยู่ในบ่า
ผ่ายพระเจ้ากาสิกราชทรงทราบว่าพระโอรสมิได้เป็นง่อยหูหนวก และเป็นใบ้ ก็ดีพระทัย รีบเสด็จไปยังที่ประทับของพระเตมียกุมารพร้อมด้วยข้าราชบริพาร เมื่อทรงปราศรัยกับพระเตมียกุมารแล้ว ในที่สุดทรงเลื่อมใสในบรรพชากิจ จึงสละราชสมบัติออกทรงผนวช พร้อมด้วยพระนางจันทเทวี และข้าราชบริพาร ณ สำนักพระเตมียกุมารในบ่านั้น และได้บรรลุอภิญญาสมาบัติ มีพรหมโลกเป็นจุดหมายปลายทางเบื้องหน้า ครั้นสิ้นชีพไปแล้วก็ได้ไปบังเกิดในสวรรค์ทั้งสิ้น