พระมหาชนก

เมื่อพระพุทธองค์ประทับอยู่ ณ พระเชตวันวิหาร ได้มีพระภิกษุมาประชุมกันในโรงธรรมสภา ปรารภถึงมหาภิเนกขัมมบารมีแห่งพระพุทธองค์ สมเด็จพระบรมศาสดาทรงทราบจึงเสด็จออกมาตรัสถามว่า ท่านทั้งหลายประชุมสนทนากันด้วยเรื่องอันใด เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลให้ทรงทราบ พระพุทธองค์ก็ตรัสว่า การออกมหาภิเนษกรมณ์ ไม่มีเฉพาะแต่ในกาลนี้แม้ในกาลก่อนพระองค์ก็เคยทรงทำมาแล้ว ตรัสจบก็ทรงดุษณีภาพ ภิกษุเหล่านั้นจึงทูลอ้อนวอนให้ทรงแสดงมหาภิเนษกรมณ์ดังต่อไปนี้

พระเจ้ามหาชนก กษัตริย์ผู้ครองกรุงมิถิลาแคว้นวิเทหะทรงมีพระโอรส ๒ พระองค์ ทรงพระนามว่า อริฏฐชนก และโปลชนก เจ้าอริฏฐชนกนั้นต่อมาได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งมหาอุปราช ส่วนโปลชนกได้ดำรงตำแหน่งเสนาบดี เมื่อพระเจ้า มหาชนกสวรรคตแล้ว เจ้าอริฏฐชนกก็ขึ้นครองราชสมบัติแทนพระราชบิดา และเจ้าโปลชนกดำรงตำแหน่งมหาอุปราช

ครั้นอยู่ต่อมา อำมาตย์ผู้หนึ่งเข้าไปกราบทูลพระเจ้าอริฏฐชนกว่า เจ้าโปลชนกมหาอุปราชคิดคดทรยศจะช่วงชิงราชสมบัติเพื่อเป็นมหากษัตริย์เสียเอง ครั้งแรกพระเจ้าอริฏฐชนกไม่ทรงเชื่อแต่เมื่ออำมาตย์กราบทูลบ่อยๆ เข้า ก็ทรงระแวงพระทัย จึงมีพระราชบัญชาให้จับตัวเจ้าโปลชนกไปจองจำและขังไว้ ณ คฤหาสน์หลังหนึ่ง ฝ่ายเจ้าโปลชนกถูกจับจองจำไว้เช่นนั้น ก็ตั้งสัตยาธิษฐานว่า ถ้าหากพระองค์คิดขบถต่อพระเชษฐาจริง ขออย่าให้เครื่องจองจำหลุดออกจากพระกาย แต่ถ้าหากพระองค์มิได้คิดร้ายต่อพระเชษฐาแล้ว ขอให้เครื่องพันธนาการจงหลุดออกจากพระกายอธิษฐานแล้ว เครื่องพันธนาการทั้งปวงก็หักหลุดจากพระวรกายประตูคฤหาสน์ที่คุมขังก็ปาฏิหาริย์เปิดออก เจ้าโปลชนกจึงเสด็จหนีไปประทับอยู่ชายแดนพระนคร แม้พระเจ้าอริฏฐชนกจะรับสั่งให้ทหารเที่ยวตามจับทั่วทุกหนทุกแห่ง แต่ก็ไม่พบ ฝ่ายเจ้าโปลชนกอยู่ชายแดนนานเข้า เกลี้ยกล่อมราษฎรเป็นสมัครพรรคพวกได้จำนวนมาก ก็ยกทัพเข้าประชิดติดกรุงมิถิลา พวกทหารแห่งกรุงมิถิลา ซึ่งมีความจงรักภักดีต่อเจ้าโปลชนกก็มาสวามิภักดิ์ด้วยเป็นจำนวนมาก เจ้าโปลชนกจึงมีสารเข้าไปทูลพระเจ้าอริฏฐชนกให้ยกราชสมบัติให้ มิฉะนั้นให้ยกออกมาทำสงคราม พระเจ้าอริฏฐชนกทรงทราบแล้วโดยขัตติยมานะเยี่ยงพระมหากษัตริย์ จึงเตรียมพระองค์ออกรบ รับสั่งให้พระมเหสีซึ่งขณะนั้นกำลังทรงพระครรภ์อยู่เข้าเฝ้า พระราชทานพระราโชวาทให้รักษาพระกุมารในครรภ์ไว้ให้ดี แล้วพระองค์ก็เสด็จยกทัพออกไปรบกับเจ้าโปลชนกพ่ายแพ้สิ้นพระชนม์ในสนามรบ พระมเหสีพระเจ้าอริฏฐชนกเสด็จหนีออกจากพระนครไปได้ เนื่องจากพระกุมารในพระครรภ์คือพระโพธิสัตว์ จึงบันดาลให้พระอินทร์แปลงเพศเป็นชายแก่ขับยานเนรมิตมารับพระนางไปยังจัมปากนคร ได้อาศัยอยู่กับพราหมณ์ทิซาปาโมกข์ในฐานะน้องสาว จนกระทั่งพระนางประสูติพระโอรสทรงพระรูปโฉมงดงาม พระนางทรงขนานนามพระโอรสว่า มหาชนก ตามพระนามของพระอัยกา

เมื่อมหาชนกกุมารเจริญวัยทรงมีพลกำลังกล้าแข็งมาก เด็กคนใดทำให้ขัดเคืองก็จะถูกพระองค์ใช้กำลังทำให้เจ็บ จนพ่อแม่ของเด็กทั้งหลายไม่พอใจมหาชนกกุมาร และเด็ก ๆ พากันล้อเลียนมหาชนกกุมารว่าเป็นลูกของหญิงม่าย มหาชนกกุมารน้อยพระทัยจึงรบเร้าถามพระมารดาถึงพระราชบิดาว่าเป็นใคร พระนางทนความรบเร้าของพระโอรสมิได้ก็เล่าความจริงให้ฟัง ระหว่างที่ทรงพำนักอยู่กับพราหมณ์ทิศาปาโมกข์ มหาชนกกุมารได้ทรงศึกษาศิลปศาสตร์ในสำนักนั้น จนสำเร็จการศึกษาเมื่อพระชนมายุ ๑๖ พรรษา ทรงดำริที่จะชิงเอาราชสมบัติของพระราชบิดาคืน จึงทูลปรึกษาพระมารดาว่ามีทรัพย์สินสิ่งใดบ้าง จะขอประทานไปทำทุนการค้าก่อนเมื่อได้โอกาสจึงจะคิดชิงราชสมบัติต่อไป พระมารดาก็ประทานทรัพย์ให้แก่โอรสตามต้องการ มหาชนกจึงได้จัดหาเรือรวมไปกับพ่อค้าประมาณ ๗๐๐ คนมุ่งหน้าสู่แคว้นสุวรรณภูมิ ขณะที่เรือแล่นไปได้ ๒ วัน ก็ถูกพายุพัดจนเรือจมลงกลางมหาสมุทร มหาชนกครองสติได้เป็นอย่างดีมิได้แสดงความหวาดหวั่น แต่ได้เตรียมตัวที่จะผจญภัยในท้องทะเลอย่างรอบคอบ พอเรือจมก็กระโดดลงจากเสากระโดง มุ่งหน้าไปทางทิศที่ตั้งเมืองมิถิลา ว่ายน้ำผ่าคลื่นอยู่ ๗ วัน พอถึงวันเพ็ญแม้ทรงสู้ภัยอยู่ในกระแสคลื่นก็ทรงสมาทานอุโบสถศีล นางมณีเมขลาเทพธิดาผู้มีหน้าที่รักษามหาสมุทรมาพบมหาชนก ก็ทดลองปัญญามหาชนกด้วยประการต่าง ๆ มหาชนกทรงแสดงอานิสงส์แห่งความเพียรจนนางเมขลาเลื่อมใส ช่วยนำมหาชนกขึ้นจากท้องทะเลแลพาไปสู่กรุงมิถิลาตามที่พระองค์ทรงตั้งพระทัยไว้

ฝ่ายพระเจ้าโปลชนก กษัตริย์แห่งมิถิลาไม่มีพระโอรสจะสืบราชสมบัติ มีแต่พระธิดาทรงพระนามว่า เจ้าหญิงสีวลี มีพระสติปัญญาหลักแหลมมาก ก่อนที่พระเจ้าโปลชนกจะสวรรคตได้รับสั่งแก่อำมาตย์ผู้ใหญ่ไว้ว่า ผู้ที่จะครองราชสมบัติกรุงมิถิลาสืบต่อไปนั้น จะต้องสามารถทำให้เจ้าหญิงสีวลีทรงยินดี สามารถรู้หัวนอนบัลลังก์สี่เหลี่ยม สามารถยกธนูหนักประมาณ ๑๐๐ แรงคนขึ้นได้ และสามารถนำขุมทรัพย์ใหญ่ ๑๖ แห่งออกมาได้ ถ้าผู้ใดมีคุณสมบัติดังกล่าว ก็ให้ยกราชสมบัติแก่ผู้นั้น

เมื่อพระเจ้าโปลชนกสวรรคตแล้ว อำมาตย์ผู้ใหญ่ไม่สามารถจะหาผู้ที่มีคุณสมบัติตามที่พระเจ้าโปลชนกรับสั่งไว้ได้ ในที่สุดก็ตกลงให้เสี่ยงราชรถออกไป ถ้าหากราชรถไปหยุดอยู่ที่ผู้ใดก็จะมอบสมบัติให้แก่ผู้นั้น ปรากฏว่าราชรถไปหยุดอยู่ที่มหาชนกซึ่งกำลังบรรทมอยู่ในอุทยาน อำมาตย์จึงให้ประโคมดุริยดนตรีขึ้น มหาชนกทอดพระเนตรเห็นราชรถก็ทรงทราบว่าเศวตฉัตรมาถึงพระองค์แล้ว แต่ทำแกล้งบรรทมต่อ ปุโรหิตจึงตรวจดูที่พระบาทก็เห็นลักษณะของพระมหากษัตริย์ สมควรจะครองราชสมบัติ จึงให้ประโคมดุริยดนตรีขึ้นอีกครั้งหนึ่ง มหาชนกตื่นบรรทม และทรงรับราชสมบัติ เสนามาตย์ราชปุโรหิตก็ประกอบพิธีราชาภิเษก ณ ที่นั้น พระองค์ทรงใช้พระนามว่าพระมหาชนกตามเดิม แล้วเสด็จเข้าประทับในนครมิถิลา

เจ้าหญิงสีวลีทรงทราบว่าพระมหาชนกเป็นพระราชาแล้วก็ใคร่จะทดลองบัญญัติต่าง ๆ ซึ่งพระมหาชนกก็ได้แสดงพระปรีชา สามารถครบ ๔ ประการ ตามที่พระเจ้าโปลชนกทรงมีพระราชประสงค์ จึงได้อภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงสีวลี มีพระโอรสองค์หนึ่งทรงพระนามว่า ทีฆาวุราชกุมาร เมื่อทรงเจริญวัยแล้ว พระมหาชนกก็ทรงสถาปนาให้ดำรงตำแหน่งมหาอุปราช

วันหนึ่ง พระมหาชนกเสด็จประพาสอุทยาน ทอดพระเนตรเห็นต้นมะม่วง ๒ ต้น ต้นหนึ่งกิ่งหักใบร่วงโกร๋น ส่วนอีกต้นหนึ่ง เขียวชอุ่ม จึงตรัสถามอำมาตย์ว่า เหตุใดมะม่วง ๒ ต้นจึงต่างกัน อำมาตย์กราบทูลว่า ต้นที่กิ่งหักใบโกร๋นนั้น มีผลดกคนทั้งหลายขว้างปาหักสอยเอาผลจึงเป็นเช่นนั้น ส่วนต้นที่เขียวขจีไม่มีผล จึงไม่มีผู้ใดทำอันตราย พระมหาชนกได้สดับดังนั้นก็สลดพระทัย ทรงพระดำริว่าอันธรรมดาต้นไม้มีผลย่อมเป็นที่ต้องการของปวงชน มีแต่จะถูกทำลาย ถ้าไม่ให้ถูกทำลายก็ต้องเฝ้าแหนรักษาให้เกิดกังวล ส่วนบรรพชาเปรียบเหมือนไม้ไม่มีผล ไม่ทำให้เกิดกังวล พระองค์ใคร่จะทำตนเหมือนไม้ไม่มีผล จึงทรงพระดำริจะสละราชสมบัติออกบรรพชา เมื่อเสด็จกลับพระราชวัง รับสั่งให้ประชุมเสนาบดี ทรงเวนราชสมบัติให้แก่มหาอุปราชราชโอรสแล้ว ครั้นเวลาย่ำรุ่ง พระมหาชนกก็ทรงครองเครื่องบรรพชิตเสด็จออกจากพระมหาปราสาท แม้ว่า พระนางสีวลี เหสีจะทูลอ้อนวอนหรือคิดกลอุบายใด ๆ ก็ไม่อาจที่จะหน่วงเหนี่ยวพระมหาชนกไว้ได้ ก่อนที่พระองค์จะเสด็จออกจากพระมหาปราสาทไปสู่ป่าใหญ่ ได้พระราชทานพระดำรัสเป็นภาษิตแก่พระนางสีวลีเพื่อให้พระนางทรงหักห้ามความอาลัยที่มีต่อพระองค์ พระนางสีวลีไม่อาจตัดพระทัยได้ก็ทรงสลบไป เมื่อพวกอำมาตย์ช่วยพยาบาลพระนางจนฟื้นคืนสติแล้ว พระนางก็รับสั่งให้ตามหาพระราชสวามี แต่ก็ไม่พบ จึงโปรดให้สร้างเจดีย์ไว้เป็นอนุสรณ์ แล้วพระนางก็เสด็จกลับไปกรุงมิถิลา พร้อมด้วยหมู่อำมาตย์ราชบริพาร ฝ่ายพระมหาชนกเสด็จเข้าไปสู่ป่าหิมพานต์ และได้ถึงซึ่งอภิญญาสมาบัติภายใน ๗ วัน พระนางสีวลีนั้นต่อมาก็เสด็จออกผนวชเป็นกาบสินีประทับอยู่ในพระราชอุทยานจนบรรลุฌาน ทั้งพระมหาชนกและพระนางสีวลีเมื่อสิ้นชีพแล้วก็ไปบังเกิดในพรหมโลก