การพัฒนาย้อมสีเส้นไหมด้วยสีธรรมชาติโดยเพิ่มประสิทธิภาพสารช่วยติดสีและสารนาโนซิงค์ออกไซด์เพื่อเพิ่มมูลค่าเชิงพาณิชย์

ชื่อนักเรียนผู้จัดทำโครงงานวิทยาศาสตร์

กชพรรณ อาจศิริวัฒน์, อาภัสรา พันผูก, บวรพจน์ พลอยมุข

อาจารย์ที่ปรึกษาโครงงานวิทยาศาสตร์

ศุภร อังษานาม

โรงเรียนที่กำกับดูแลโครงงานวิทยาศาสตร์

โรงเรียนชลบุรี (สุขบท)

ปีที่จัดทำโครงงานวิทยาศาสตร์

พ.ศ. 2563

บทคัดย่อโครงงานวิทยาศาสตร์

“การพัฒนาย้อมสีเส้นไหมด้วยสีธรรมชาติและเพิ่มประสิทธิภาพสารช่วยติดสีเพื่อเพิ่มมูลค่าเชิงพาณิชย์” เป็นโครงงานสาขากายภาพที่จัดทำขึ้นเพื่อศึกษาการพัฒนาย้อมสีเส้นไหม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้วยสีย้อมจากธรรมชาติ โดยมีขั้นตอนการศึกษาดังต่อไปนี้ ศึกษาการลอกกาวเส้นไหมสำหรับย้อม พบว่า ไหมดิบเมื่อนำไปลอกกาวเส้นไหม จะได้เส้นไหมมีลักษณะสีเหลืองอ่อน ผิวมันวาว และอ่อนนุ่ม จากนั้นศึกษาประสิทธิภาพการดูดซับสีธรรมชาติของเส้นไหมจากพืชชนิดต่าง ๆ พบว่า ชนิดพืชที่นำมาสกัดเป็นสีย้อม เมื่อนำไปย้อมเส้นไหมทำให้มีค่าประสิทธิภาพการดูดซับสีได้มากที่สุด คือ แก่นแกแล คิดเป็นร้อยละ 70.21 และมีค่าการตกสีอยู่ที่ร้อยละ 8.43 และเมื่อศึกษาความเข้มของสีย้อมธรรมชาติจากพืชที่มีผลต่อการดูดซับของสีย้อมเส้นไหม พบว่า ปริมาณความเข้มของสีย้อมจากแก่นแกแลที่เหมาะสมที่สุดคือ 150 กรัม มีค่าประสิทธิภาพการดูดซับสีและค่าการตกสี ร้อยละ 70.21 และ 8.43 ตามลำดับ เมื่อศึกษาระยะเวลาในการย้อมสีเส้นไหมที่มีผลต่อการดูดซับสีของสีย้อมเส้นไหม พบว่า ระยะเวลาที่เหมาะสมในการย้อมไหม คือ ระยะเวลา 1 ชั่วโมง มีค่าประสิทธิภาพการดูดซับสี และค่าการตกสี คิดเป็นร้อยละ 70.21 และ 8.43 ตามลำดับ เมื่อศึกษาสารช่วยติดสีจากหมากนวล เปลือกทับทิม ใบชงโค ใบมะขาม โคลนบัว และโคลนป่าชายเลน พบว่า ชนิดสารที่ช่วยติดสีที่เหมาะสม คือ เปลือกทับทิมเติมใส่ในช่วงขณะย้อมสีเส้นไหม มีค่าประสิทธิภาพการดูดซับสีอยู่ที่ร้อยละ 84.16 และมีค่าการตกสีอยู่ที่ร้อยละ 6.43 เมื่อศึกษาสารนาโนซิงค์ออกไซด์ที่มีผลต่อการติดสีของเส้นไหม พบว่า มีค่าประสิทธิภาพการดูดซับสี คิดเป็นร้อยละ 78.58 และมีค่าการตกสีอยู่ที่ร้อยละ 6.81 และเมื่อศึกษาประสิทธิภาพสารนาโนซิงค์ออกไซด์ที่มีผลต่อการยับยั้งแบคทีเรีย พบว่า เส้นไหมที่ได้ผ่านการย้อมด้วยสารนาโนซิงค์ออกไซด์ ในช่วงหลังย้อมเส้นไหมมีประสิทธิภาพการยับยั้งเชื้อ Escherichia coli และเชื้อ Staphylococcus aureus เท่ากับ 17 มิลลิเมตร และ 21.5 มิลลิเมตร ตามลำดับ