ผญาคำสอน : ธรรมเนียมปฏิบัติของผู้เป็นสามีและภรรยา

อันว่าผัวเมียนี้ กูมึงอย่าได้ว่า
ให้เอิ้นข้อยและเจ้า ผองเฒ่าชั่วชีวัง
ยามนอนนั้น ให้ผัวแพงนอนก่อน
ให้เอาขันดอกไม้สมมาแล้ว จึงค่อยนอน
[อันว่าผัวเมียนี้ กูมึงอย่าได้ว่า
ให้เอิ้นข่อยและเจ้า ผองเฒ่าชั่วชีวัง
ยามนอนนั้น ให้ผัวแพงนอนก่อน
ให้เอาขันดอกไม้สมมาแล้ว จึงค่อยนอน]

ผญาที่ว่า อันว่าผัวเมียนี้ กูมึงอย่าได้ว่า [อันว่าผัวเมียนี้ กูมึงอย่าได้ว่า] แปลว่า คนที่เป็นสามีภรรยากันแล้ว อย่าพูดกูมึงต่อกัน

ผญาที่ว่า ให้เอิ้นข้อยและเจ้า ผองเฒ่าชั่วชีวัง [ให้เอิ้นข่อยและเจ้า ผองเฒ่าชั่วชีวัง] แปลว่า ให้เรียกว่า ข่อยและเจ้า ไปจนแก่เฒ่าชั่วชีวิต

ข้อย [ข่อย] แปลว่า ผม, ฉัน

เจ้า แปลว่า คุณ, เธอ

ผอง ในที่นี้แปลว่า ตราบเท่า, จนถึง

ผญาที่ว่า ยามนอนนั้น ให้ผัวแพงนอนก่อน [ยามนอนนั้น ให้ผัวแพงนอนก่อน] แปลว่า เวลาเข้านอนกลางคืนให้สามีนอนก่อน

แพง แปลว่า ที่รัก, รักอย่างทะนุถนอม

ผญาที่ว่า ให้เอาขันดอกไม้ สมมาแล้วจึงค่อยนอน (ไห่เอาขันดอกไม้ สมมาแล่วจั่งค่อยนอน) แปลว่า ผู้เป็นภรรยาก่อนนอนให้นำขันดอกไม้มา กราบเท้าสามีเพื่อขอขมาลาโทษก่อนจึงค่อยเข้านอน

สมมา แปลว่า ขอขมาลาโทษ

ดังนั้น คำผญาที่ว่า
อันว่าผัวเมียนี้ กูมึงอย่าได้ว่า
ให้เอินข้อยและเจ้า ผองเฒ่าชั่วชีวัง
ยามนอนนั้น ให้ผัวแพงนอนก่อน
ให้เอาขันดอกไม้ สมมาแล้วจึงค่อยนอน
[อันว่าผัวเมียนี่ กูมึงอย่าได้ว่า
ไห้เอิ้นข่อยและเจ้า ผองเฒ่าซั่วชีวัง
ยามนอนนั่น ไห่ผัวแพงนอนก่อน
ไห่เอาขันดอกไม้ สมมาแล่วจั่งค่อยนอน]

จึงมีความหมายว่า ชายหนุ่มหญิงสาวเมื่อตกลงปลงใจแต่งงานกันแล้ว มี ธรรมเนียมประเพณีที่ปฏิบัติสืบต่อกันมาให้เรียกขานกันว่า ข้อย และ เจ้า ห้ามใช้คำว่า กู และ มึง เพราะถือว่าเป็นคำไม่สุภาพ ครั้นเวลากลางคืนก่อน สามีเข้านอน ให้ผู้เป็นภรรยานำขันดอกไม้ที่เตรียมไว้ไปนั่งลงตรงหน้าสามี แล้ว กล่าวคำขอขมาลาโทษที่เคยล่วงเกิน เมื่อสามีรับขันดอกไม้จากภรรยาแล้ว ภรรยาจึงก้มลงกราบสามี จึงเข้านอนในภายหลัง เพราะมีความเชื่อว่า การเคารพ สามีนั้นจะทำให้ชีวิตคู่อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขและราบรื่นตลอดไป

(นายเกษียร มะปะโม)