ความมีเหตุผล
...ผู้มีความสามารถ คือ ทำหน้าที่ใดก็ให้งานนั้นสำเร็จดัง ความมุ่งหมาย ท่านจะต้องเป็นผู้มีน้ำใจหนักแน่นใช้ความพิจารณา ด้วยเหตุผล.. ท่านจะต้องเป็นตัวของท่านเองใช้วิชาการที่ได้ร่ำเรียนมา เลือกปฏิบัติแต่ที่เป็นคุณเป็นประโยชน์แก่ตนเองและส่วนรวมคือ ประเทศชาติเสมอไป..."
(พระบรมราโชวาทในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย : ๔ กรกฎาคม ๒๕๐๐)
"...ความจริงงานทุกอย่างถ้าทำด้วยน้ำใจรัก ย่อมมีทางสำเร็จ ได้ผลดีเมื่อพบอุปสรรคใดๆ อย่าเพิ่งท้อแท้จะหมดกำลังใจง่ายๆ จงตั้งใจ ทำให้ดี คิดหาทางที่จะแก้ไขผ่อนคลายอุปสรรคต่างๆ ด้วยเหตุผลและ หลักวิชา ไตร่ตรองด้วยความสุขุมรอบคอบและเยือกเย็น งานจะลุล่วง ไปด้วยดี การทำงานด้วยน้ำใจรักต้องหวังผลงานนั้นเป็นสำคัญ..."
(พระบรมราโชวาทในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย : ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๐๖)
"...ข้าพเจ้าอยากให้ทุกคนคำนึงถึงกฎแห่งเหตุผล ว่าผลที่เกิดขึ้น เพราะเหตุ คือ การกระทำและผลนั้นจะเป็นผลดีหรือผลเสีย ก็เพราะ กระทำให้ดีหรือให้เสีย ดังนั้นการที่จะทำงานใดให้บรรลุผลที่พึงประสงค์ จะต้องพิจารณาถึงวิธีการที่เหมาะสมก่อนเป็นเบื้องต้น แล้วลงมือกระทำ ตามหลักเหตุผลด้วยความตั้งใจจริงและด้วยความสุจริตงานของแต่ละคน จึงจะเป็นผลดี และเชื่อได้ว่า ผลงานของแต่ละคนจะประมวลกัน เป็น ความเจริญมั่นคงของบ้านเมืองได้ดั่งปรารถนา.."
(พระบรมราโชวาทในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย : ๙ กรกฎาคม ๒๕๑๓)
"...งานพัฒนาบ้านเมืองนั้น ต้องอาศัยบุคคลสองประเภท คือ นักวิชาการกับผู้ปฏิบัติ นักวิชาการเป็นผู้วางโครงการ เป็นผู้นำ เป็นผู้ชี้ทางเป็นที่ปรึกษาของผู้ปฏิบัติ ส่วนผู้ปฏิบัตินั้นเป็นผู้ลงมือลงแรง กระทำงาน งานจะได้ผลหรือไม่เพียงไรขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ระหว่าง บุคคลสองฝ่ายนี้ ถ้ามีความเข้าใจและร่วมงานกัน ก็ไม่มีอุปสรรค ได้ผลงานเต็มเม็ดเต็มหน่วย..."
(พระบรมราโชวาทในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ : ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๑๓)
"...การวางโครงการใดๆ ที่จะให้ได้ผลสมบูรณ์ จะต้องอาศัย เหตุผลที่หนักแน่นเป็นพื้นฐาน ต้องจัดวางรูปขึ้นด้วยความละเอียด รอบคอบ แล้วต้องดำเนินการอย่างจริงจังโดยชะมักเขมัน ข้อสำคัญที่ควร คำนึงถึงอย่างยิ่งนั้น ได้แก่ความจริงที่ว่า การทำงานใหญ่ๆ ทุกอย่าง ต้องการเวลามาก กว่าจะทำสำเร็จ ผู้ที่ริเริ่มโครงการอาจไม่ทันทำให้ สำเร็จโดยตลอดด้วยตนเองก็ได้ ต้องมีผู้อื่นรับทำต่อไป ดังนั้น ไม่ควร ยกเอาเรื่องใครเป็นผู้เริ่มงาน ใครเป็นผู้รับช่วงงาน ขึ้นเป็นข้อสำคัญนัก จะต้องถือผลสำเร็จที่จะเกิดจากงาน เป็นใหญ่ยิ่งกว่าสิ่งอื่น..."
(พระบรมราโชวาทในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยศิลปากร : ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๔)
"...ผู้เป็นบัณฑิตจะต้องเชื่อมั่นและยืนหยัดในเหตุผลและความดี ถ้าทุกคนมีความมั่นคง ไม่หวั่นไหวต่อความวิปริตผันผวนของสังคม ช่วยกันปลูกฝังความรู้ ความคิด ความมีเหตุผล ให้เกิดมีในอนุชน สังคมของเราก็จะเข้ารูปเข้ารอยดีขึ้นเป็นลำดับ..."
(พระบรมราโชวาทในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของวิทยาลัยวิชาการศึกษา : ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๑๔)
"...ก็เห็นว่าการสร้างสรรค์ที่แท้จริงน่าจะทำด้วยวิธีการอันละมุน ละม่อมทั้งด้วยความรู้ความสุขุมรอบคอบประกอบด้วยเหตุผลให้ทุกฝ่าย ทุกคนได้ร่วมมือแก้ไขสิ่งที่ควรแก้ไข ส่งเสริมสิ่งที่ควรส่งเสริม พร้อมกับ สร้างสิ่งที่ควรสร้างใหม่ให้มีขึ้นสมบูรณ์บริบูรณ์ตามที่ต้องการ..."
(พระบรมราโชวาทในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ : ๑๗ สิงหาคม ๒๕๑๕)
"...อันการคิดโดยอิสระนั้น ทุกวันนี้ คนบางส่วนมักเข้าใจว่าคือ การคิดให้ผิดแปลกแตกต่างจากคนอื่นๆ ความเข้าใจเช่นนั้นยังไม่ถูกแท้ จุดประสงค์สำคัญโดยตรงของการคิด คือคิดให้ออก คิดให้เห็นชัดแจ้ง ว่าอะไรเป็นอะไร สมมุติว่าจะคิดหาทางปฏิบัติสำหรับการหนึ่งการใด ก็ต้องคิดให้แยบคาย อย่างละเอียดรอบคอบ ประกอบด้วยเหตุผล จนเห็นแจ้งถึงจุดมุ่งหมายอันถูกต้องเที่ยงตรงของการที่จะทำนั้น รวมทั้ง วิถีทางปฏิบัติครบทุกขั้นทุกตอนด้วย..."
(พระบรมราโชวาทในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรและอนุปริญญาบัตรของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย : ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๑๗)
"...อันการทำงานนั้น กล่าวโดยสรุป ขึ้นอยู่กับความสามารถ สองอย่างเป็นสำคัญ คือความสามารถในการใช้วิชาการอย่างหนึ่ง กับความสามารถในการสัมพันธ์ติดต่อและประสานกับผู้อื่น ไม่ว่าจะใน วงงานเดียวกันหรือต่างวงงานกัน อีกอย่างหนึ่ง ทั้งสองประการนี้ ย่อมดำเนินควบคู่ไปด้วยกันและจำเป็นที่จะต้องกระทำด้วยจิตใจที่ใสสะอาด ปราศจากอคติ ต้องกระทำด้วยความคิดความเห็นที่อิสระเป็นกลาง ถูกต้องตามหลักเหตุผล จึงจะมีความกระจ่างแจ่มแจ้งเกิดขึ้น..."
(พระบรมราโชวาทในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ สงขลา : ๑๙ สิงหาคม ๒๕๑๗)
"...ผู้สำเร็จการศึกษาซึ่งเป็นบัณฑิต เป็นผู้รู้ ควรจะมีหลัก ในการเลือก การประสมและการปฏิบัติทฤษฎีนั้นๆ อย่างมีเหตุผล เช่น ไม่นำทฤษฎีนั้นมาใช้เพื่อทฤษฎี โดยมุ่งจะให้ผลสำเร็จผลแห่ง ทฤษฎีนั้นเป็นที่ตั้งเพียงประการเดียว เพราะผลที่เกิดขึ้นอาจเป็นผลที่ ไม่พึงประสงค์ก็ได้ ทางที่ถูกจะต้องใช้ความเป็นบัณฑิต ผู้รู้ดีรู้ชั่ว และ ความรู้จักศึกษาพิจารณา เลือกเฟ้นทฤษฎีเหล่านั้นก่อน แล้วนำเอา แต่ส่วนที่เชื่อได้แน่ว่าดีว่าถูกต้องมาใช้การ ให้ได้ผลที่พึงประสงค์..."
(พระบรมราโชวาทในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ พิษณุโลก : ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๑๗)
"...นักการศึกษาจำเป็นจะต้องศึกษา วิเคราะห์วิจัยทฤษฎีเหล่านั้น อย่างละเอียดสุขุมและมีเหตุผล ให้เห็นส่วนที่เป็นประโยชน์และส่วน ที่มิใช่ประโยชน์ เพื่อเลือกเฟ้นส่วนที่ดี ที่ถูกต้อง นำมาประกอบกันใช้การ ให้ได้ผลอันสมบูรณ์ที่พึงประสงค์ ทั้งต้องระวังไม่นำทฤษฎีมาใช้เพื่อ ผลแห่งทฤษฎีเพียงประการเดียว เพราะอาจก่อให้เกิดความเสียหาย ได้โดยง่าย การปฏิบัติตนปฏิบัติงานนั้นยังจะต้องมีความเพียรพยายาม ที่มั่นคงโดยไม่ขาดสายด้วย ความสำเร็จในภารกิจทั้งปวงจึงจะบังเกิดขึ้น โดยบริสุทธิ์บริบูรณ์แท้จริง..."
(พระบรมราโชวาทในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒมหาสารคาม : ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๑๗)
"... ถ้าแต่ละคนทำหน้าที่ ทั้งในหน้าที่ที่มี ทั้งหน้าที่ที่ได้ตั้งไว้กับตัว หรืออาชีพ ทั้งในหน้าที่ที่มีในทางที่เป็นคนไทยเป็นมนุษย์ ที่จะต้องมี ความเอื้อเฟื้อ ซึ่งกันและกัน ถ้ามีความคิดที่เที่ยงตรง ที่มีเหตุผล ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเห็นด้วย เห็นพ้องกันเสมอ ไม่หมายความว่า ถ้าใครพูดอะไรไปจะต้องถือว่าใช่แล้ว ยกมือแบบที่เขาล้อกันในสภา มีความคิดความเห็นต่างกันได้ แต่ถ้าพูดกันด้วยเหตุผลแล้ว ไม่ใช่ มิจฉาทิฐิ คือไม่ถือเอาเหตุผลลับๆ ล่อๆ มาใช้ เชื่อว่าเราอยู่ด้วยกัน ได้อย่างดี...
(พระราชดำรัสเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา : ๔ ธันวาคม ๒๕๑๗)
"...ถ้าท่านทั้งหลายช่วยกันคิด ช่วยกันทำ แม้จะมีการเถียงกันบ้าง ก็เถียงกัน แต่เถียงด้วยรากฐานของเหตุผล และเมตตาซึ่งกันและกัน และสิ่งที่สูงสุดก็คือประโยชน์ร่วมกัน คือความพอมีพอกิน พออยู่ปลอดภัย ของประเทศชาติ ทั้งนี้ ถ้าทำไปตามที่ว่านี้ก็เป็นของขวัญวันเกิดที่ล้ำค่า..."
(พระราชดำรัสเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา : ๔ ธันวาคม ๒๕๑๗)
"...การกระทำที่สร้างสรรค์นั้น คือการกระทำที่ได้ผลเป็นประโยชน์ แก่ทุกๆ ฝ่าย ได้เต็มเปี่ยมตรงตามจุดประสงค์ ไม่มีการสูญเสียเปล่า หรือหากจะเสีย ก็เสียน้อยที่สุด การที่จะกระทำให้ได้เช่นนั้น บุคคลจำเป็น ต้องอาศัยความมีสติพิจารณาให้เห็นถึงเหตุผลที่แท้ คือแก่นแท้หรือ หลักการของเรื่องต่างๆ จับเหตุจับผลอันต่อเนื่องกันทั้งหมดให้ถูกต้อง คือจัดระเบียบการของเรื่องให้ดี..."
(พระบรมราโชวาทในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรและอนุปริญญาบัตรของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย : ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๑๘)
"...สำคัญที่สุด ถ้าปฏิบัติด้วยความบริสุทธิ์ใจ ด้วยเหตุผล และ ความหมั่นเพียรแท้ๆ แล้วจะสามารถนำวิชาการมาใช้ให้เป็นประโยชน์ได้ โดยไม่มีสิ่งใดมาเป็นอุปสรรคขัดขวางและจะทำให้ประเทศชาติเจริญ มั่นคงได้ดังประสงค์.."
(พระบรมราโชวาทในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยขอนแก่น : ๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๙)
...จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทำความคิดความเห็นให้กว้างขวาง ไม่เกาะติดในทฤษฎีอยู่อย่างเดียว จะทำการสิ่งใด ควรต้องศึกษาให้ทั่วถึง เสียก่อน ด้วยเหตุผลด้วยความรอบคอบละเอียดสุขุม..."
(พระบรมราโชวาทในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร : ๒๒ มิถุนายน๒๕๑๙)
"....การจะนำเอาหลักวิชาไปใช้ให้ได้ผลในการปฏิบัติงานใดๆ จำเป็นจะต้องศึกษางานนั้นให้ทั่วถึง ด้วยเหตุด้วยผล ด้วยความสุขุม รอบคอบ ด้วยความคิดความเห็นที่กว้างขวางและเป็นธรรม จึงเห็นทาง ที่จะนำหลักวิชามาใช้ปฏิบัติงานให้สัมฤทธิ์ผลตามประสงค์ได้..."
(พระบรมราโชวาทในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร : ๒๓ มิถุนายน ๒๕๑๙)
"..พูดกันว่าให้พิจารณาเหตุผลให้ดีนั้น กล่าวอีกนัยหนึ่ง ก็คือ ให้พิจารณาการกระทำหรือกรรมของตนให้ดีนั่นเอง คนเราโดยมาก มักนึกว่า อนาคตจะเป็นอย่างไรเราทราบไม่ได้ แต่ที่จริง เราย่อมจะทราบ ได้บ้างเหมือนกัน เพราะอนาคตก็คือผลของการกระทำในปัจจุบัน ถ้าปัจจุบันทำดี อนาคตก็ไม่ควรจะตกต่ำ.."
(พระบรมราโชวาทในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย : ๘ กรกฎาคม ๒๕๑๙)
"...การที่บัณฑิตจะใช้ความรู้ความสามารถของตัวกระทำการงาน ใดๆ ในภายหน้า จะต้องทำความคิดจิตใจของตนเองให้เที่ยงตรง พ้นจาก อำนาจอคติเสียเป็นเบื้องต้นก่อน แล้วจึงนำความคิดที่เที่ยงตรงนั้น มาพิจารณาการกระทำของตนเอง ด้วยหลักเหตุผลให้ถูกต้อง และ ด้วยความเพียรพยายามอันไม่ขาดสาย ความสำเร็จ ความเจริญก้าวหน้า และอนาคตที่แจ่มใสจึงจะมาถึงท่านได้สมตามที่ตั้งใจปรารถนา.."
(พระบรมราโชวาทในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย : ๑๐ กรกฎาคม ๒๕๑๙)
...ความไม่พอใจนี้เป็นของไม่ดี มีความไม่พอใจที่ไหน ความเดือดร้อนก็เกิดที่นั่น... เป็นข้อสังเกตว่า คนเราความพอใจแท้ๆ จะไม่ได้สักคนเดียว เพราะว่าถ้าคนไหนมีความพอใจแท้ๆ ผู้นั้นพูดขี้ปด เพราะว่าไม่มีใครที่มีความพอใจแท้ๆ แม้จะเป็นพระอรหันต์ จะเรียกว่า จะมีความพอใจแท้ๆ ก็ไม่ได้ เพราะว่าพระอรหันต์มีความสำเร็จ ไม่ใช่ ความพอใจ มีความสำเร็จว่าไม่ต้องพอใจแล้ว ฉะนั้น คนที่มีความพอใจ ไม่พอใจนี้ ก็ลำบากที่จะให้พอใจจริงๆ ทุกคนแม้แต่คนเดียวก็มีความ พอใจลำบาก นี่เป็นความคิดที่เกิดขึ้นอย่างนี้ จึงมาคิดว่าถ้าใครในที่นี้ เกิดมีความไม่พอใจขึ้นมา ก็ขอบอกว่าขออภัย แต่ว่าแก้ยากแล้วก็วิธี ที่จะทำให้พอใจที่ดีที่สุดก็คือระงับความไม่พอใจ จะระงับความไม่พอใจ ของแต่ละคนได้อย่างไร? คิดให้ดี ๆ ว่าเรามาวันนี้มาทำอะไรได้สำเร็จ ประโยชน์แล้ว คือได้มาและได้กล่าวให้พรโดยวิธีการมีผู้รับมอบฉันทะ เป็นผู้กล่าว อย่างนี้ก็เป็นวิธีอย่างหนึ่งที่จะทำให้ระงับความไม่พอใจ ถ้าระงับความไม่พอใจแล้ว ก็จะเกิดความพอใจพอสมควร อันนี้เป็น ข้อสังเกตอีกอย่างหนึ่ง..."
(พระราชดำรัสเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา : ๔ ธันวาคม ๒๕๒๐)
...มีเงินเดือนเท่าไร จะต้องใช้ภายในเงินเดือน. ...การทำแชร์นี้ เท่ากับเป็นการกู้เงิน การกู้เงินนี้นำมาใช้ในสิ่งที่ไม่ทำรายได้นั้นไม่ดี. อันนี้เป็นข้อสำคัญ เพราะว่าถ้ากู้เงินและทำให้มีรายได้ ก็เท่ากับ จะใช้หนี้ได้ ไม่ต้องติดหนี้ ไม่ต้องเดือดร้อน ไม่ต้องเสียเกียรติ. ... กู้เงิน เงินนั้น จะต้องให้เกิดประโยชน์ มิใช่กู้สำหรับไปเล่นไปทำอะไร ที่ไม่เกิดประโยชน์..."
(พระราชดำรัสเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา : ๔ ธันวาคม ๒๕๔๐)
"...ในเมืองไทยนี้ถ้าทำกิจการ หมายความปกครองหรือดำเนิน กิจการทั้งในด้านการเมือง เศรษฐกิจ ทั้งในด้านธุรกิจ ในด้านอาชีพ มีทุจริตเมืองไทยพัง ของเราเมืองไทยนี่ที่ยังไม่พัง ก็เพราะว่าเมืองไทยนี่ นับว่าแข็งมาก แต่ว่าเดี๋ยวนี้ถ้าหากว่าทำไม่ระวัง เข็นให้พัง มันก็เหมือน บ้านที่กำลังคลอน บ้านกำลังคลอนอะไรสั่นนิดเดียวก็ถล่ม เมื่อถล่มแล้ว ก็จะแย่...เมื่อทำอย่างนั้นคือโครงการมันไม่ดี เห็นมามากแล้วว่า ระหว่าง หน่วยราชการจะมี กรมทาง กรมชลประทาน กรมป่าไม้ เป็นต้น ไม่ได้ สอดคล้องกัน โครงการไม่ทำให้สอดคล้องก็เกิดเรื่องแก้ไข ก็แก้ไขได้ ไม่สู้ยากนัก แต่จะต้องไม่มีทิฐิ จะต้องร่วมกัน แต่ถ้ามีทุจริตมาเพิ่ม ในกิจการเหล่านี้แล้ว มันก็ทำให้ร้ายแรงขึ้นเป็น๒ เท่า๓ เท่า.."
(พระราชดำรัสเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา : ๒๓ ธันวาคม ๒๕๔๒)
"....เศรษฐกิจพอเพียงนี้ ขอย้ำว่า เป็นการทั้งเศรษฐกิจ หรือ ความประพฤติ ที่ทำอะไรเพื่อให้เกิดผลโดยมีเหตุและผล คือเกิดผล มันมาจากเหตุ ถ้าทำเหตุที่ดี ถ้าคิดให้ดี ให้ผลที่ออกมา คือ สิ่งที่ ติดตามเหตุ การกระทำ ก็จะเป็นการกระทำที่ดี และผลของการกระทำนั้น ก็จะเป็นการกระทำที่ดี ดีแปลว่ามีประสิทธิผล ดีแปลว่ามีประโยชน์ ดีแปลว่าทำให้มีความสุข."
(พระราชดำรัสเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา : ๔ ธันวาคม ๒๕๔๓)