พระเวสสันดร
ปฐมเหตุที่พระพุทธองค์จะตรัสเล่าเรื่องพระเวสสันดรชาดกนี้ เนื่องจากเมื่อครั้งพระพุทธองค์เสด็จไปโปรดพระประยูรญาติแห่งศากยวงศ์ ณ กรุงกบิลพัสดุ์ ทรงแสดงปาฏิหาริย์เพื่อลดทิฐิมานะของเหล่าพระประยูรญาติที่ไม่ยอมคารวะพระองค์ ในครั้งนั้นได้เกิดมีฝนโบกขรพรรษตกลงมา เหล่าพระภิกษุที่เฝ้าอยู่ในที่นั้นต่างพากันประหลาดใจว่าเป็นสิ่งไม่เคยมีมาก่อน พระพุทธองค์จึงตรัสเล่าว่า ฝนโบกขรพรรษนี้มิใช่เพิ่งจะปรากฏเป็นครั้งแรก แต่ได้เคยตกมาครั้งหนึ่งแล้วในอดีตกาล เหล่าพระภิกษุได้ทูลอาราธนาให้ทรงเล่าเรื่องนั้น พระพุทธองค์จึงตรัสเทศนาเรื่องพระเวสสันดร อันเป็นอดีตนิทานดังนี้
กาลครั้งหนึ่ง ยังมีพระมหากษัตริย์พระองค์หนึ่งทรงพระนามว่า พระเจ้าสีวีราช ครองกรุงสีพีรัฐบุรี มีพระราชบุตรทรงพระนามว่า สัญชัยราชกุมาร เมื่อทรงเจริญวัยพระราชบิดามอบราชสมบัติให้ครองและอุปภิเษกกับพระนางผุสดี พระนางผุสดีผู้นี้ในอดีตชาติได้เคยอธิษฐานขอให้ได้มาเกิดเป็นพุทธมารดาจนในชาติสุดท้ายซึ่งเกิดเป็นพระมเหสีพระอินทร์ก็ได้ทูลขอพรสิบประการก่อนที่จะมาจุติในมนุษยโลก พรข้อหนึ่งที่พระนางทรงขอคือให้มีพระราชโอรสที่ทรงพระราชศรัทธาอย่างยอดยิ่งในการบริจาคทาน และพรนั้นพระนางก็ได้รับดังประสงค์ คือทรงมีพระราชโอรสทรงพระนามว่าพระเวสสันดร
พระเวสสันดรได้ทรงใฝ่ในการบริจาคทานตั้งแต่แรกประสูติได้ทูลขอพระราชทรัพย์เพื่อบริจาคเป็นครั้งแรก เมื่อทรงเจริญวัยได้ครองราชสมบัติต่อจากพระราชบิดา มีพระมเหสีทรงพระนามว่าพระนางมัทรี มีพระราชบุตรองค์หนึ่งคือพระชาลีและพระราชธิดาองค์หนึ่งคือพระกัณหา กิติศัพท์การบริจาคทานของพระเวสสันดรเป็นที่เลื่องลือไปไกลจนกระทั่งต่อมาเมื่อเมืองกลิงคราษฎร์เกิดทุพภิกขภัย จึงส่งพราหมณ์มาทูลขอคชสารปัจจัยนาเคนทร์ซึ่งเป็นช้างคู่บ้านคู่เมืองมีคุณสมบัติพิเศษทำให้เกิดฝนตกต้องตามฤดูกาลเป็นคุณแก่การเพาะปลูกพืชพันธุ์ ธัญญาหาร พระเวสสันดรทรงบริจาคให้ ชาวเมืองสัญชัยจึงพากันโกรธแค้น ทูลขอพระเจ้าสัญชัยให้ทรงพิจารณาโทษพระเวสสันดร พระเจ้าสัญชัยจึงให้บรรพาชนียกรรมคือขับไล่พระเวสสันดรออกจากบ้านเมือง
พระเวสสันดรจึงเตรียมการเดินทางไปสู่เขาวงกต ในครั้งนั้นพระนางมัทรีและพระกุมารทั้งสองขอตามเสด็จไปด้วยโดยมิพึ่งคำคัดค้านจากพระเจ้าสญชัยและพระนางผุสดี ก่อนที่จะเสด็จออกจากพระนคร พระเวสสันดรได้ทรงบำเพ็ญสัตตสดกมหาทานอีกครั้งหนึ่ง แล้วทั้งสี่พระองค์ก็เสด็จไปสู่เขาวงกต ทรงบรรพชาพระองค์เป็นดาบส รักษาศีล และพระเวสสันดรทรงตั้งพระทัยที่จะบริจาคทานต่อไป
ณ หมู่บ้านแห่งหนึ่งชื่อทุนวิฐใกล้เมืองกลิงคราษฎร์ มีพราหมณ์เฒ่าผู้หนึ่งชื่อว่า "ชูชก" มีอาชีพขอทานได้สะสมเงินทองไว้ได้ถึงร้อยกษาปณ์ เกรงจะมีคนมาปล้นชิงไปเสีย จึงนำเงินไปฝากไว้กับเพื่อนพราหมณ์ผู้หนึ่ง แล้วตนก็เดินทางเที่ยวขอทานต่อไปยังที่ต่างๆ ฝ่ายพราหมณ์ผู้เพื่อนสองผัวเมียเห็นชูชกหายไปเป็นเวลานาน คิดว่าชูชกคงจะเสียชีวิตแล้ว จึงนำเงินของชูชกออกใช้จนหมดสิ้น เมื่อชูชกกลับมาจึงไม่มีเงินคืนให้ พราหมณ์สองผัวเมียจึงต้องยกลูกสาวชื่อนางอมิตดา ให้ชูชกเพื่อชดใช้แทนเงินนั้น นางอมิตดาเป็นผู้มีกตัญญูกตเวทิตาจึงยอมไปอยู่กับชูชกโดยดี และเฝ้าปรนนิบัติเฒ่าชูชกตามหน้าที่ภริยาที่ดี จนพราหมณ์ผู้เป็นสามีของหญิงชาวบ้านในละแวกนั้นต่างไม่พอใจภริยาของตนพากันทุบตีด่าว่าภริยา หญิงเหล่านั้นริษยาอาฆาตนางอมิตดาจึงพากันมาด่าว่านานัปการ ทำให้นางอมิตดาได้รับความอับอายและไม่ยอมทำการงานทั้งปวง แล้วแนะนำให้ชูชกเดินทางไปหาพระเวสสันดร ณ เขาวงกต เพื่อทูลขอพระราชโอรสและพระราชธิดามาเป็นทาสรับใช้ ชูชกนั้นรักและหลงนางอมิตดาภริยาสาวจึงยอมออกเดินทางฝ่าความยากลำบากนานาประการ เพื่อไปขอพระราชโอรสและพระราชธิดาของพระเวสสันดรตามที่นางอมิตดาต้องการ
ในคืนที่ชูชกเดินทางมาถึงและได้รอโอกาสอยู่นั้น พระนางมัทรีทรงสุบินนิมิตเป็นลางร้าย และได้ทูลเล่าให้พระเวสสันดรทรงแก้พระสุบินนิมิตให้ พระเวสสันดรก็ทรงทราบจากพระสุบินนิมิตนั้น ว่าจะได้ทรงกระทำบุตรทานในวันรุ่งขึ้นเป็นแน่แท้ แล้วพระองค์ก็กลบเกลื่อนให้พระนางมัทรีคลายกังวล ครั้นรุ่งเช้าเมื่อพระนางมัทรีเสด็จเข้าป่าเพื่อหาผลไม้ตามปกติแล้ว ชูชกจึงรีบเข้ามาเฝ้าทูลขอพระราชทานพระกุมารทั้ง ๒ พระองค์ทันที พระเวสสันดรจึงได้ทรงบำเพ็ญทานอันยากยิ่งอีกครั้งหนึ่ง คือ บุตร-ทาน ฝ่ายชูชกเป็นผู้มีสันดานหยาบได้รับพระราชทานพระชาลีและพระกันหาแล้วก็ฉุดกระชากกระทำทารุณต่อกุมารทั้งสองต่อหน้าพระเวสสันดร แต่พระองค์ก็ทรงอดทนและข่มใจได้ในที่สุด
เมื่อพระนางมัทรีกลับจากป่าไม่พบพระกุมารทั้งสองก็ออกติดตามไปในป่าด้วยความรัก แล้วกลับมาด้วยความโทมนัสและเหน็ดเหนื่อยจนสลบไป เมื่อฟื้นขึ้นพระเวสสันดรเห็นว่าพระนางค่อยสร่างโศกลงแล้ว จึงตรัสเล่าความจริงให้ฟังและขอให้พระนางยินดีในการทำทานของพระองค์ครั้งนี้ พระนางมัทรีจึงทูลอนุโมทนา พระอินทร์ได้ทรงเห็นพระเวสสันดรมีพระราชหฤทัยมั่นคงในการบริจาคทานจนได้บริจาคบุตรทานก็เกรงว่า จะมีบุคคลไม่สมควรมาขอพระราชทานพระนางมัทรี จึงแปลงกายเป็นพราหมณ์มาทูลขอพระนางมัทรีต่อพระเวสสันดร เมื่อทรงบริจาคให้พระอินทร์สำแดงกายให้ปรากฏ แล้วจึงมอบพระนางคืนและพระราชทานพร ทั้งสองพระองค์ก็ทรงบำเพ็ญพรตอยู่ ณ ที่นั้นโดยปกติสุข
กล่าวถึงชูชกได้พาสองกุมารเดินทางโดยทุรกันดาร หลงเข้าสู่กรุงสีพีและได้พาสองกุมารเดินผ่านหน้าพระที่นั่ง พระเจ้ากรุงสญชัยทอดพระเนตรเห็น โปรดให้เรียกพราหมณ์ชูชกเข้ามาถามได้ความแล้ว จึงทรงไถ่พระนัดดาทั้งสองตามที่พระเวสสันดรตั้งราคาไว้ แล้วพระราชทานรางวัลให้ชูชกเป็นจำนวนมาก กับเลี้ยงดูด้วยอาหารอันโอชะ ชูชกโลภกินอาหารเข้าไปมากจึงถึงแก่ความตาย
ครั้นแล้วพระเจ้ากรุงสญชัยพร้อมด้วยพระนางผุสดีและพระชาลีกัณหาจึงเสด็จโดยกระบวนพยุหยาตราไปรับเสด็จพระเวสสันดรและพระนางมัทรีกลับพระนคร เมื่อกษัตริย์ทั้งหกพระองค์ได้พบกันต่างพากันโศกเศร้าจนถึงแก่วิสัญญีภาพไปทั้งหกพระองค์ กาลบัดนั้นได้บังเกิดมีฝนโบกขรพรรษตกลงมาต้องพระวรกายกษัตริย์ทั้งหกพระองค์จึงฟื้นคืนสติและเสด็จกลับสีวิรัฐนคร พระเวสสันดรได้ขึ้นครองราชสมบัติสืบมาจวบจนพระชนมายุได้ร้อยยี่สิบพรรษาจึงสิ้นพระชนม์ ไปจุติในสวรรค์ชั้นดุสิตโพ้น
เมื่อพระพุทธองค์ ตรัสเทศนาเรื่องพระเวสสันดรชาดกอันประกอบด้วยคาถาพันหนึ่งจบลงแล้ว ทรงกล่าวประมวลถึงบุคคลต่างๆ ในอดีตนิทานนั้นว่าได้กลับชาติมาเกิดเป็นใครบ้าง เช่นพระนางผุสดี ก็ได้เป็นพุทธมารดาคือพระนางสิริมหามายา และพระเวสสันดรก็คือ พระพุทธองค์