โสณนันทชาดก
...ฯลฯ...
ขึ้นชื่อว่ามารดาท่านเป็นผู้ทรงคุณเป็นเอนกนัก น้องอย่าประมาทปรนนิบัติท่านไปเถิด เมื่อจะประกาศคุณของมารดา จึงภาษิตสองคาถาว่า
มารดาเป็นผู้อนุเคราะห์ เป็นที่พึ่งแลเป็นผู้ให้กษีรรสในเบื้องต้นแก่เราทั้งหลาย เป็นมรรคาแห่งโลกสวรรค์ แน่ะฤษีผู้น้อง บัดนี้ มารดาเลือกน้องไว้ปรนนิบัติ ฯ มารดาผู้ให้กษีรรสในเบื้องต้น แลปกครองเราทั้งหลายมา เป็นที่ตั้งแห่งบุญกุศล เป็นมรรคาแห่งโลกสวรรค์ แน่ะฤษีผู้น้อง บัดนี้ มารดาเลือกน้องไว้ปรนนิบัติ ฯ
เมื่อพระโพธิสัตว์พรรณนาคุณมารดาแก่น้องชายด้วย ๒ คาถานี้แล้ว พอมารดากลับมานั่งอาสนะเดิม จึงกล่าวอีกว่า น้องได้มารดาผู้ทำกิจที่ทำได้ยากไว้ปรนนิบัติแล้ว เราแม้ทั้ง ๒ มารดาได้ประคับประคองมาโดยลำบาก บัดนี้น้องอย่าประมาทปรนนิบัติท่านไปเถิด อย่าให้ท่านบริโภคผลาผลที่ไม่ดีอีกนะ เมื่อจะประกาศความที่มารดาเป็นผู้ทำกิจอันยากที่จะทำ จึงภาษิตคาถาเป็นอันมากว่า
มารดาเมื่อปรารถนาผลคือบุตร ย่อมนอบนบเทพดา แลไต่ถามฤกษ์ฤดูและปีทั้งหลายต่อผู้รู้ (ที่จะได้แก่ดูหมอ) ฯ
(อรรถกถาธิบาย มีว่า) มารดาเมื่อปรารถนาเช่นนั้น ย่อมนอบน้อมบวงสรวงเทพดาว่า ขอให้ข้าพเจ้ามีบุตรเถิด และถามฤกษ์ยามต่อผู้รู้ว่า บุตรคลอดฤกษ์ไหนอายุยืน ฤกษ์ไหนอายุไม่ยืน เป็นต้น และถามถึงฤดูว่าใน ๖ ฤดู บุตรเกิดฤดูไหนอายุยืน ฤดูไหนอายุไม่ยืน หรืออีกนัยหนึ่งว่า มารดามีอายุได้เท่าไรมีบุตรอายุจึงจะยืน และเท่าไรอายุบุตรไม่ยืน เป็นต้น และถามถึงปีก็นัยนั้น ฯ
เมื่อมารดาอาบในฤดูแล้ว ครรภ์ก็ตั้ง และการให้แพ้ห้อง เหตุนั้นบัณฑิตจึงเรียกว่า สุหทา หญิงมีใจดีฉะนี้ ฯ
(อรรถกถาธิบาย มีว่า) เมื่อฤดูเกิดแล้ว มารดาอาบในฤดูแล้ว ครรภ์ก็ตั้งเพราะ เหตุประสงค์เนื่อง ประชุมกัน เพราะเหตุครรภ์ตั้งขึ้นจึงเกิดแพ้ห้อง ครั้งนั้นมารดาเกิดความรักในบุตรธิดา ซึ่งเป็นประชากรเกิดในท้องของตน ดังนั้นท่านจึงเรียกว่า สุหทา หญิงมีใจดี ฯ
มารดานั้นบริหารครรภ์มาราวปีหนึ่ง หรือหย่อนกว่า ก็คลอดบุตร เหตุนั้นบัณฑิตจึงเรียกว่า ชนยนุตี บ้าง ชเนตุตี บ้าง ว่าผู้ทำให้บุตรเกิด (แปลเหมือนกันทั้งสองศัพท์) ฯ
ครั้นบุตรร้องไห้ มารดาก็ปลอบให้แช่มชื่นด้วยให้ดื่มนมบ้าง ด้วยขับกล่อมบ้าง ด้วยอุ้มประทับไว้กับทรวงบ้าง เหตุนั้น บัณฑิตจึงเรียกว่า โตเสนุตี ผู้ปลอบบุตรให้ แช่มชื่น ฯ
ลำดับนั้น มารดาแลเห็นบุตรซึ่งยังเป็นเด็กไม่รู้จักความ เล่นอยู่ในกลางลมกลางแดดที่จัด ก็เข้ารับขวัญด้วยหทัยรักสนิท เหตุนั้นบัณฑิตจึงเรียกว่า โปเสนุตี ผู้เลี้ยงดูบุตร ฯ
มารดาย่อมสงวนทรัพย์ทั้งสองฝ่าย คือฝ่ายมารดาและฝ่ายบิดาไว้ ด้วยหมายใจว่า จะได้เป็นของ ๆ บุตรเราทั้งหลายดังนี้ ฯ
มารดาเมื่อต้องสั่งสอนบุตรอยู่ร่ำไร ว่า อย่างนี้ อย่างโน้น ก็ลำบาก แลเมื่อบุตรรุ่นหนุ่มกำลังคะนองมัวเมาไปในปรทารกรรม จนมืดค่ำก็ยังไม่กลับบ้าน มารดาตั้งแต่จะร้อนใจ ฟูมฟายน้ำตาคอยหาบุตรอยู่ ฯ
บุตรอันมารดาเลี้ยงดูมายากแค้นถึงปานนี้แล้ว แลไม่บำรุงท่านตอบ บุตรนั้นจัดว่าประพฤติผิดในมารดา ย่อมเข้าถึงฐานะอันหาความเจริญมิได้เลย ๆ
(แปลเหมือนอันต้น ต่างแต่เปลี่ยนว่า บิดา ในที่แห่ง มารดาเท่านั้น) ฯ
เราได้สดับมาว่า เพราะไม่บำรุงมารดา แม้ทรัพย์สมบัติที่เกิดแก่บุตรผู้มีความอยากได้ทั้งหลาย ย่อมจะฉิบหายไป หรืออีกอย่างหนึ่ง บุตรนั้นย่อมจะถึงความทุกข์ยากเป็น เที่ยงแท้ ฯ
(แปลเหมือนอันต้น ต่างแต่เปลี่ยนว่า บิดา ในที่แห่ง มารดาเท่านั้น) ฯ
ความรื่นเริงบันเทิงจิต แลความเล่นหัวในการทุกเมื่อ ทั้งนี้บัณฑิตผู้รู้เหตุผล ประจักษ์จะพึ่งได้ ก็เพราะบำรุงมารดา ฯ
(แปลเหมือนอันต้น ต่างแต่เปลี่ยนว่า บิดา ในที่แห่ง มารดาเท่านั้น) ฯ
สังคหวัตถุทั้งหลาย คือทาน การให้ ๑ ปิยวาจา เจรจาให้น่ารัก อัตถจริยา ประพฤติให้เป็นประโยชน์ ๑ สมานัตตา ความเป็นผู้มีตนเสมอในธรรมทั้งหลายตามควรในที่นั้น ๆ ๑ สี่ประการเหล่านี้แล ย่อมมีในโลก เหมือนเพลามีแก่รถ ๆ จึงแล่นไปได้ฉะนั้น ฯ
(อรรถกถาธิบาย มีว่า) บุตรควรให้วัตถุที่ควรให้แก่มารดาบิดาทั้งหลาย ควรกล่าวคำอ่อนหวานต่อท่าน ควรช่วยเหลือในกิจที่เกิดขึ้นแก่ท่านให้สำเร็จไป ซึ่งจัดเป็นการประพฤติให้เป็นประโยชน์แก่ท่าน ควรกระทำตนให้สม่ำเสมอในธรรมคือสัมมาคารวะต่อท่าน โดยอปจายนะวิธี มีกราบไหว้เป็นต้น ทั้งในท่ามกลางบริษัททั้งในที่ลับ หาเป็นแต่ทำในที่ลับแลในชุมชนมิใช่ทำไม่ ฯ
ผิสังคหะวัตถุทั้งหลายนี้ จะไม่พึงมีในโลก มารดาหรือบิดาก็จะพึงไม่ได้รับความนับถือแลความบูชา เพราะเหตุบุตรเลย ฯ
เหตุใดบัณฑิตทั้งหลาย มาพิจารณ์เห็นสังคหะวัตถุเหล่านั้นว่าเป็นกิจควรทำแท้ เหตุนั้นบัณฑิตทั้งหลายนั้น ย่อมถึงความเป็นคนใหญ่คนโตได้ ทั้งเป็นผู้ได้รับความยกย่องสรรเสริญด้วย ฯ
มารดาบิดาทั้งหลายผู้กรุณาแก่บุตรธิดาซึ่งเป็นประชาของตน บัณฑิตย่อมเรียกว่าเป็นมหาพรหมบ้าง บุรพาจารย์บ้าง อาหุเนยยะบุคคลบ้าง ของบุตรทั้งหลาย ฯ
เพราะเหตุนั้นแล บุตรผู้มีปรีชาควรนอบน้อมสักการมารดาบิดาทั้งหลายด้วยข้าวน้ำ ผ้านุ่งห่มและที่นอน ด้วยให้อาบน้ำทาของหอม และล้างเท้าเป็นต้น ฯ
เพราะความบำรุงในมารดาบิดาทั้งหลายนั้น บัณฑิตทั้งหลายย่อมสรรเสริญบุตรผู้มีปรีชานั้นในโลกนี้ ครั้นเขาละโลกนี้ไปแล้ว ก็ยังจะปราโมทย์ในโลกสวรรค์อีก ฯ