เงื่อนไขคุณธรรม (ความสามัคคี / ร่วมมือ / ปรองดอง)

"...สามัคคีที่สำคัญที่สุดคืออะไร ก็คือสามัคคีในชาติ ไม่ใช่ว่า ความสามัคคีในคณะไม่ดี แต่ต้องระวัง ถ้าสามัคคีกัน แต่ว่าไปก้าวก่าย หรือไปทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน ในสถาบันก็เป็นความผิด ถ้าสามัคคีใน สถาบันไปทำให้คนอื่นเสียหายหรือเดือดร้อนก็ไม่ดี เพราะทำให้เสียหาย ต่อสามัคคีของชาติ..."

(พระบรมราโชวาทในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย : ๓ สิงหาคม ๒๕๐๔)


"...ท่านจะทำงานอะไรก็ตาม ขอให้ระลึกไว้ว่า งานเกษตรกรรมนี้ กว้างขวางมาก ตั้งแต่การผลิตรวมทั้งการค้นคว้าเพื่อการผลิต การจัด กิจการ จนกระทั่ง การจำหน่ายผลผลิต แต่ละคนจงพยายามทำงาน ให้สุดความสามารถ ความรู้ความชำนาญของตัว และร่วมมือกันทุกๆ ฝ่าย การเกษตรจึงจะก้าวหน้าเป็นผลดีถึงส่วนรวมได้..."

(พระบรมราโชวาทในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ : ๙ กรกฎาคม ๒๕๐๗)


...ในการนั้น จำเป็นที่สุดที่จะต้องใช้วิชาการทำงานร่วมมือกัน ให้ประสานสอดคล้องทุกฝ่าย...นิสิตนักศึกษาทุกคณะควรจะได้รู้จัก รวมกันและร่วมงานกัน ตั้งแต่ศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัย ไม่สมควร อย่างยิ่งที่จะแบ่งแยกกัน ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดๆ ทั้งสิ้น และเมื่อสำเร็จจาก มหาวิทยาลัยไปแล้วก็ต้องร่วมมือร่วมงานกันทั้งต้องประสานงานกับผู้อื่น ให้กว้างขวางยิ่งขึ้นต่อไป งานทุกด้านจึงจะดำเนินลุล่วงไปได้โดยราบรื่น..."

(พระบรมราโชวาทในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ : ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๑๕)


..สามัคคีกัน ปรองดองกัน นี่ความหมายของความสามัคคี ใครๆ ก็บอกว่า ให้สามัคคีปรองดองกัน ช่วยเหลือเพื่อประเทศชาติ แปลว่าอะไรก็ไม่รู้ แต่ว่าลองดูคนหนึ่งคนใดที่อยู่ท่ามกลางนี้ เรียกร้อง พื้นที่สำหรับยืนเกินจำเป็น โดยอ้างความสุขส่วนตัว คนอื่นก็ต้องประท้วง เราทั้งหลายอยู่ได้ก็เพราะว่า มีความสามัคคีปรองดองกัน..."

(พระราชดำรัสเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา : ๔ ธันวาคม ๒๕๑๘)


"...ที่สำคัญที่สุดเพราะว่า ตามที่ได้กล่าวเมื่อตะกี้ว่า แต่ละคนจะตั้ง อยู่ในความสามัคคี ช่วยร่วมแรงกัน เพื่อที่จะปฏิบัติงานที่เป็นประโยชน์ เป็นประโยชน์ต่ออะไร ตอนนี้ก็ต้องบอกว่าเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม หรือต่อชาติบ้านเมือง เชื่อว่าท่านทั้งหลายก็มีความปรารถนาดีโดยแท้ ไม่ใช่ดีบ้างไม่ดีบ้างแต่ดีโดยแท้ว่าตั้งใจที่จะเข้าหากัน ร่วมแรงกัน ปฏิบัติงานเพื่อส่วนรวม เพื่อประเทศชาติ..."

(พระราชดำรัสเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา : ๔ ธันวาคม ๒๕๒๐)


"...คำว่า "สามัคคี" นี้ขอวิเคราะห์ศัพท์ ว่าเป็นการกระทำของ แต่ละคน ทำความดีเว้นจากความไม่ดี มีความเข้าใจซึ่งกันและกัน ของแต่ละบุคคล. อย่างนี้ถ้าชาติสามัคคี ชาติก็ไม่แตกสลาย คุมไว้ติด. คำว่าคุมนี้ อาจจะไม่ชอบกันเพราะเหมือนควบคุมเพราะเหมือนควบคุม เหมือนคุมขัง แต่คุมหมายความว่าอยู่ติด อยู่เป็นชาติได้..."

(พระราชดำรัสเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา : ๔ ธันวาคม ๒๕๒๑)


...อีกอย่างหนึ่งที่จะแก้ไขสถานการณ์ต่างๆ ได้ ก็ได้พูดแล้ว ท่านก็คงได้ฟังแล้ว ได้พูดเมื่อวานนี้เองในพิธีสวนสนามของทหารรักษา พระองค์ ตอนแรกได้พูดว่าคนไทยเรา ที่รักษาเอกราชอธิปไตยไว้ได้ ก็โดยอาศัยการที่ "รู้จักความสามัคคี และรู้จักทำหน้าที่ของแต่ละฝ่าย ให้ประสานส่งเสริมกัน" ความจริงเขียนไว้ว่า "รู้รักความสามัคคี" ... การที่ จะรู้จักสามัคคี ก็ลำบากมาก เพราะคนมากๆ รู้จักกันทั่วถึงไม่ค่อยได้ แต่ "รู้รักสามัคคี" ควรจะใช้ได้ เพราะหมายความว่า ทุกคนถือว่า ตนเป็นคนไทย มีอะไรเกิดขึ้นก็ตาม ทุกคนรู้ว่าต้องมีความสามัคคี "รู้" ก็คือ "ทราบ" ทราบความหมายของสามัคคี "รัก" คือ "นิยม" นิยมความ สามัคคี เพราะเหตุใดคนไทยจึง "รู้รักสามัคคี" ก็เพราะคนไทยนี่ฉลาด ไม่ใช่ไม่ฉลาด คนไทยนี่ฉลาด รู้ว่าถ้าหากเมืองไทยไม่ใช้ความสามัคคี ไม่เห็นอกเห็นใจกัน ไม่ใช้อะไรที่จะพอรับกันได้ พอที่จะใช้ได้ ก็คงจะ ไม่ได้ทำอะไร หมายความว่า ทำมาหากินก็ไม่ได้ ทำมาหากิน เพราะว่า ไม่มีอุปกรณ์ ไม่มีความสงบ จะต้อง "รู้รักสามัคคี" หมายความว่า รู้จักการอะลุ้มอล่วยกัน แม้จะไม่ใช่ถูกต้องเต็มที่ คือหมายความว่า ไม่ถูกหลักวิชาเต็มที่ ก็จะต้องใช้ เพราะว่าถ้าไม่ใช้ก็ไม่มีอะไรใช้ อาจมีสิ่งที่ มีอยู่แล้วที่จะใช้ไปได้ชั่วคราว คุณภาพอาจไม่ค่อยดีนักทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่มีอะไรที่ดีร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ว่าต้องใช้อะไรที่พอใช้ได้ไป ไม่อย่างนั้น ไม่มีวันที่จะมีชีวิตรอดได้... ตอนนี้ถ้าราษฎร "รู้รักสามัคคี" เขาจะเข้าใจ ว่าเมื่อเขามีรายได้ เขาก็จะยินดีเสียภาษี เพื่อช่วยราชการให้สามารถทำ โครงการต่อไปเพื่อความก้าวหน้าของประเทศชาติ ถ้าราษฎร "รู้รักสามัคคี" และรู้ว่า "การเสียคือการได้" ประเทศชาติก็จะก้าวหน้า เพราะว่าการที่คน อยู่ดีมีความสุขนั้น เป็นกำไรอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งนับเป็นมูลค่าเงินไม่ได้ การปฏิบัติโดยวิธีการที่อาจไม่ถูกหลักวิชานักแต่ประกอบด้วยความเมตตา ด้วยความสามัคคีคือ "รู้รักสามัคคี" นี้เอง ก็คงจะทำให้อยู่กันได้ต่อไป ... ความจริงประเทศไทยนี้ก้าวหน้ามามากแล้ว และก็ก้าวหน้ามาอย่าง สม่ำเสมอไม่เร็วเกินไปไม่ช้าเกินไป สิ่งที่สำคัญ ก็คือต้องใช้หลักที่พูด เมื่อวานนี้ แต่พูดผิดพลาดไป วันนี้จึงมาแก้เสียยืดยาว แก้คำเดียว แก้คำว่า "จัก" เป็น "รัก" หรือ "รัก" เป็น "จัก" ก็ขอให้ท่านทั้งหลาย ได้เข้าใจว่า เมื่อวานนี้พูดผิด ยอมรับ เขียนไว้อย่างดีว่า "คนไทย รู้รัก ความสามัคคี" ไพล่ไปพูดว่า "รู้จักความสามัคคี" ซึ่งก็ไม่ผิดนัก แต่ "รู้รักความสามัคคี" นั้นซึ้งกว่า เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เข้าใจว่าท่านทั้งหลาย ก็จะซึ้งและ "รู้รักความสามัคคี".."

(พระราชดำรัสเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา : ๔ ธันวาคม ๒๕๓๔)


"...ยังไม่ได้พูดถึงคำที่เคยพูดทุกครั้ง คือต้องสามัคคีกัน. ต้องไม่ ปัดขากันมากเกินไป. แต่ว่าไม่ได้หมายความว่า จะต้องทำแบบที่บางคน นึกจะทำ. จะต้องให้ทุกคนมีโอกาสทำงาน ทำงานตามหน้าที่ เมื่อทำงาน ตามหน้าที่แล้ว ก็ต้องหวังดีต่อผู้อื่น นี้เป็นหลักที่สำคัญ. ต้องทำงาน ด้วยการเห็นอกเห็นใจกัน และทำด้วยความขยันหมั่นเพียร...."

(พระราชดำรัสเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา : ๔ ธันวาคม ๒๕๔๐)


"...ข้าพเจ้าขอส่งความปรารถนาดี มาอวยพรแก่ท่านทุกๆ คน ทั้งขอขอบใจท่านเป็นอย่างมาก ที่มีไมตรีจิตร่วมมือ สนับสนุนข้าพเจ้า ในภาระทั้งปวงด้วยดีตลอดมาในรอบปีที่ผ่านไป มีเหตุการณ์หลายอย่าง เกิดขึ้นในบ้านเมืองเรา ที่สำคัญควรแก่การชื่นชม เป็นพิเศษ ก็คือการที่ นักกีฬาของเรา ได้เหรียญทอง และเหรียญทองแดง ในการแข่งขันกีฬา โอลิมปิก ตกถึงปลายปี ก็มีเหตุการณ์ที่น่าเศร้าสลดใจ คือเกิดอุทกภัย ครั้งใหญ่ที่ภาคใต้ เป็นผลให้ชีวิตและทรัพย์สิน ของประชาชนต้องสูญเสีย ไปมิใช่น้อย แต่ภัยพิบัติครั้งนี้ ก็ทำให้ได้เห็นน้ำใจ และความสามัคคีของ คนไทย อย่างเด่นชัดอีกครั้งหนึ่ง เราต่างพร้อมใจ และเต็มใจช่วยเหลือ กันและกันทันที โดยเต็มกำลังและเสียสละ ข้อนี้น่าจะเป็นเครื่องยืนยัน ได้เป็นอย่างดี ถึงความสามัคคี และความเมตตาปรารถนาดีต่อกัน ที่ยังมีบริบูรณ์ อยู่ในจิตใจของคนไทย ทำให้มั่นใจได้ว่า ไม่ว่าประเทศ ของเรา จะประสบกับปัญหา หรือภาวะอันไม่ปรกติใดๆ คนไทยเราจะ หันหน้าเข้าหากัน และร่วมมือร่วมใจกัน ปฏิบัติแก้ไข ให้ผ่านพ้นปัญหา หรือภาวการณ์นั้น ๆ ไปได้อย่างแน่นอน..."

(พระราชดำรัสเนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ : ๓๑ ธันวาคม ๒๕๔๓)


"...ทำยังไงให้ก้าวหน้า คือ จะต้องสามัคคีกัน ร่วมกันทำ แล้วถ้า ร่วมกันทำ มันก้าวหน้าได้ แต่ถ้าไม่ร่วมกันทำ ไม่ ไม่มีทางก้าวหน้า แล้วข้อสำคัญเรามานึกถึงคำว่า ทัศนะของแต่ละคน ความคิดของ แต่ละคน ก็มีความคิดดีทั้งนั้น แต่ว่าทัศนะของอีกคนหรือความคิด หรือ เกณฑ์ของคนอื่น มันไม่เหมือนกัน ก็ขัดกัน ถ้าเรามีความคิดอย่างหนึ่ง แล้วก็มาพูดกับอีกคน เขาบอกไม่ ไม่ถูก เขาก็มีสิทธิ์ที่จะบอกว่าไม่ถูก แต่ตอนนี้เราจะทำยังไง ถ้าหากว่ามีความคิดใน ในงานอะไรอย่างหนึ่ง คนหนึ่งบอกต้องทำอย่างนี้ อีกคนบอกทำอีกอย่าง ขัดกัน มันจะสำเร็จ ได้อย่างไร มันไม่มีทางสำเร็จ แต่ว่าทางสำเร็จมันมี อยู่ที่จะต้องละทิฐิ ถ้าหากว่ามาพูดกัน และจะเห็นได้ว่ามีทาง ในงานอะไรก็ตาม ความจริง มันมีทางเดียว ไม่ใช่มีหลายทาง ถ้ามีหลายทาง บางทีก็มาดูดีๆ มันก็ ทางเดียวกัน ทางที่จะทำให้งานสำเร็จน่ะ ไม่ใช่มีหลายทาง มันมีทางเดียว แต่ความคิดไม่เหมือนกัน มีจับเกณฑ์ของตัวเป็นใหญ่ อีกคนหนึ่ง เขาก็มี เกณฑ์ของเขา ฉะนั้นจะต้องให้ปรองดองกันได้ คำว่า ปรองดอง คำว่า สามัคคี สำคัญมาก ต้องมาหาทางที่ ที่มา รวมปรองดองได้ แต่ว่าที่เป็นอย่างนี้ คน๒ คน ความคิดไม่เหมือนกัน มีไม่เหมือน มีให้เหมือนกันไม่ได้ คน คนแต่ละคนมีความคิดต่างกัน มีแนวชีวิตคนละอย่าง ได้เรียนรู้มาคนละอย่าง ได้มีประสบการณ์ มาคนละอย่าง แต่ว่าถ้ามา มาสัมมนากันน่ะ เชิงปฏิบัติการ ก็จะสำเร็จได้ แล้วไอ้คำเชิงปฏิบัติการนะ ต้องปฏิบัติ ถ้าทำสัมมนาเชิงปฏิบัติการ แต่ไม่ได้ปฏิบัติ อย่างวันนี้นะ ไม่ใช่สัมมนาเชิงปฏิบัติการ นี่แหละพูด และพูดอยู่คนเดียว ถ้ามาพูดกัน คุยกัน และปฏิบัติ นี่ก็เป็น เป็นสัมมนา เชิงปฏิบัติการ แต่ว่าการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ แบบที่เราทำๆ กัน มันไม่ใช่ มันก็ ขอโทษนะ เป็นการไปเที่ยว ไปเที่ยวรถไฟน่ะ ก็มันไม่ถูก ถ้าหากว่า พูดกันให้รู้เรื่อง นั่นจะมีประโยชน์ ถึงต้องดูว่า แต่ละคน มีความคิด แตกต่างกัน ต้องพยายามที่จะให้ ความคิดนั้น ความแตกต่างนั้น มาปรองดองกัน

แต่อีกอย่างหนึ่งที่จะพูด จะพูดแล้วก็แต่ละคนก็จะต้องโกรธตัวเอง ไม่ใช่โกรธคนอื่น อย่างคนที่ มีความคิดอย่างหนึ่ง แล้วก็ไปเจอคนที่มี ความคิดอีกอย่าง ก็โกรธเขา รู้สึกโกรธ รู้สึกเคือง ว่าทำไมเขาไม่ ไม่มี ความคิดเหมือนกัน ไอ้ไม่มีความคิดเหมือนกันน่ะ มันเป็นไปได้ แต่ที่ น่าโกรธที่สุดก็คือ ตอนนี้เราคิดอย่างนี้ พรุ่งนี้เราคิดอีกอย่าง ขัดกันเอง ขัดกับตัว ตัวเราเอง ในตัวเราเองน่ะขัดกัน..."

(พระราชดำรัสเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา : ๔ ธันวาคม ๒๕๔๔)